One world

วันจันทร์-ศุกร์ 09.00-18.00 น.
วันเสาร์ 09.00-13.00 น.

Spain ไม่ได้มีดีแค่วัวกระทิง

February 9, 2022 | by One world

Spain เป็นประเทศน่าเที่ยว เต็มไปด้วยธรรมชาติที่งดงาม ติดอันดับต้น ๆ ของยุโรป

Spain แดนกระทิงดุ เมืองที่มีประวัติศาสตร์กระจายอยู่ทั่วทั้งประเทศ มีวัฒนธรรมเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

คูดิลเลโร (Cudillero, Asturias)

เป็นท่าเรือประมงที่สวยงามในคอสต้า แวร์เด (Costa Verde) บนชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกของ Spain เปรียบเหมือนโอเอซิสริมชายฝั่งที่เงียบสงบ

คูดิลเลโรตั้งอยู่ในภูมิภาค ‘อัสตูเรียส’ (Asturias) ของสเปน ซึ่งในตอนแรกมีมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ‘นีแอนเดอร์ทัล’ (Neanderthals) อาศัยอยู่ ก่อนที่ถูกครอบครองด้วยอิธิพลของชนเผ่าในท้องถิ่นที่รู้จักในชื่อ Astures  หนึ่งในชนเผ่าเซลติกซึ่งอาศัยอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของฮิสเปเนีย (Hispania) ครอบครองพื้นที่นี้จนกระทั่งชาวโรมันบุกเข้ามาเมื่อ 29 ปีก่อนคริสตกาล นำโดยจักรพรรดิแห่งโรมันองค์แรก ‘ออกุสตุส’ (Augustus) หรือที่รู้จักกันในนาม ‘ออคเตเวียน’ ผู้เป็นบุตรบุญธรรมของนักรบที่ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรโรมัน ‘จูเลียส ซีซาร์’

หลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันในศตวรรษที่ 5 ก็เป็นยุคของชนเผ่าวิซิกอธ (Visigoth) และชนเผ่ามัวร์  (Moors) จากแอฟริกาเหนือ ในศตวรรษที่ 15 คูดิลเลโรกลายเป็นศูนย์กลางการประมงที่สำคัญในอัสตูเรียส  ต่อมาในระหว่างการพิชิตโลกใหม่ของสเปน กะลาสีจำนวนมากจากอัสตูเรียสจะมีบทบาทสำคัญในการพิชิตทวีปอเมริกา และชื่อเสียงของคูดิลเลโรก็แพร่หลายไปทั่วจักรวรรดิสเปน

ศตวรรษที่ 18 ได้ประกาศยุคทองของชาวอัสตูเรียส ในช่วง ‘ยุคแห่งแสงสว่าง’ อัสตูเรียสเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการเรียนรู้ที่ยอดเยี่ยมและได้ผลิตนักคิดและนักปฏิรูปที่มีชื่อเสียงหลายคนในช่วงเวลาดังกล่าว น่าเศร้าที่เหตุการณ์โศกนาฏกรรมของสงครามกลางเมืองสเปนจะส่งผลกระทบต่อชีวิตของพลเมืองของคูดิลเลโรหลายคน และแน่นอนว่าชีวิตของทุกคนในสเปน ความขัดแย้งระหว่างเผด็จการทหารของนายพลฟรังโก้ และรัฐบาลของพรรครีพับลิกันเกิดขึ้นระหว่างปี 1936 ถึง 1939

หลังการเสียชีวิตของนายพลฟรังโก สเปนได้เปลี่ยนผ่านไปสู่ระบอบประชาธิปไตยอย่างราบรื่น และอัสตูเรียสได้รับสถานะปกครองตนเองที่สมควรได้รับอย่างมากในปี 1981 หมู่บ้านฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว และในปี 1984 หมู่บ้านได้สร้างท่าเรือใหม่เสร็จสิ้น ความสงบสุขและความเจริญรุ่งเรืองได้หวนคืนสู่มุมพิเศษทางเหนือของสเปนแห่งนี้

วันนี้คูดิลเลโรยังคงเป็นหมู่บ้านชายทะเลที่มีเสน่ห์ที่สุดแห่งหนึ่งของสเปน ซึ่งเต็มไปด้วยความงดงามตระการตาและศูนย์กลางประวัติศาสตร์ที่มีชีวิตชีวา อาคารบ้านเรือนที่ตั้งอยู่บนเนินเขาเหนือทะเลและถนนปูด้วยหินกรวด บ้านทุกหลังทาสีด้วยสีพาสเทลทอดยาวเป็นครึ่งวงกลมรอบอ่าว มีบาร์และคาเฟ่มากมาย ซึ่งส่วนใหญ่อยู่รอบๆ พลาซ่าใกล้กับท่าเรือ ภายในพื้นที่สี่เหลี่ยมจัตุรัสที่เต็มไปด้วยเรือประมง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนเย็นเมื่อเรือกลับมาพร้อมกับการจับปลาในแต่ละวัน หากเดินไปที่ประภาคารกูดีเยโร จะมองเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามของชายฝั่งที่กว้างไกลสุดสายตา

Spain

คาราเกส (Cadaqués, Girona)

เป็นหมู่บ้านริมทะเลที่โดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่งของชายฝั่งคาตาลัน ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศบนคาบสมุทร Cap de Creus ที่ซึ่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนมาบรรจบกับเทือกเขาพิเรนีส ซึ่งอยู่ปลายสุดของชายฝั่งคอสตาบราวา (Costa Brava) ประเทศ Spain

ในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา หมู่บ้านชาวประมงเก่าแก่แห่งนี้เป็นตัวอย่างที่ดีของภาพที่งดงามด้วยชายหาดกรวดมากมายและหน้าผาอันตระการตาที่มองออกไปเห็นทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่สวยงาม ถนนสู่คาราเกสลัดเลาะไปตามภูเขาทางเหนือของบาร์เซโลนาเป็นทางแยกและทางโค้งที่คดเคี้ยว ผ่านหน้าผาทีละแห่งที่ทอดลงสู่แนวชายฝั่ง

บริเวณหัวของอ่าวคาราเกสมีเครือข่ายของถนนที่ปูด้วยหินแคบๆ และบ้านสีขาวประกอบกันเป็นเมืองเก่า เหนือโครงร่างของเมือง ภาพของโบสถ์ซานตามาเรีย ซึ่งเป็นโบสถ์ที่ได้รับการบูรณะอย่างพิถีพิถันโดยมีส่วนหน้าอาคารสีขาวโดดเด่น 

บ้านเรือนสีขาวสะอาดที่หนึ่งในสี่หลังต้องมีบานประตูหน้าต่างสีน้ำเงิน ดอกไม้สีม่วงเรียงซ้อนจากระเบียง พักอยู่ระหว่างภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยพุ่มไม้ซึ่งยื่นออกมาจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนอันใสสะอาด เรือประมงไม้ที่ทาสีด้วยสีสันสดใสซึ่งลอยลำพักผ่อนอยู่บนชายฝั่งหาด 

ในช่วงทศวรรษแรกของศตวรรษที่ 20 เมืองนี้ได้กลายเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมที่สำคัญของยุโรป ศิลปินชั้นนำมากมาย เช่น ปิกัสโซ ชากาล และไคลน์ ได้พบแรงบันดาลใจเฉพาะของพวกเขาในมุมที่สวยงามของเมืองเล็กๆ แห่งนี้

Spain

วัลเดมอสซา (Valldemossa, Mallorca)

เมืองเล็กๆ บนเกาะมายอร์ก้าของสเปน ตั้งอยู่บนความสูง 436 เมตรจากระดับน้ำทะเล มีผู้อยู่อาศัยเพียง 2,000 คน ตั้งอยู่บนยอดเขาที่ล้อมรอบด้วยภูมิประเทศแบบขั้นบันได ห่างจาก ‘Palma de Mallorca’ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของเกาะประมาณ 18 กม.

ด้วยตรอกซอกซอยที่ปูด้วยหินและมรดกทางวัฒนธรรมอันยาวนาน หมู่บ้านที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ของโลกยุคเก่าตั้งอยู่ในหุบเขาอันงดงามท่ามกลางเทือกเขาทรามุนทานา (Tramuntana) บ้านหินอิฐโบราณของที่นี่ตัดกันกับป่าเขียวขจีที่มีทั้งต้นมะกอก ต้นโอ๊ค อัลมอนด์ รวมถึงท้องฟ้าสีครามเบื้องบน

ชื่อ Valldemossa มาจากชื่อ ‘มูซา’ (Muza) ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินดั้งเดิมชาวมัวร์ ผู้ปกครองมายอร์ก้าเป็นเวลา 300 ปีนับตั้งแต่ศตวรรษที่ 10  ไม่กี่ทศวรรษหลังจากที่ชาวมัวร์ถูกขับไล่ออกจากมายอร์ก้าโดย พระเจ้าไชเมที่ 1 หรือ ไชเมผู้พิชิต แห่งอารากอน ในปี 1229 ต่อมา ‘รามอน ลอลล์’ (Ramon Llull) นักปรัชญาจากราชอาณาจักรมายอร์ก้า ได้ก่อตั้งอารามนอกเมือง ในปี 1276 อารามแห่งนี้กลายเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้สำหรับพระสงฆ์ฟรานซิสกันและ นำไปสู่แท่นพิมพ์แห่งแรกในมายอร์ก้าซึ่งเปิดตัวที่นี่ในปี 1485

น่าจะเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะที่ซึ่งนักประพันธ์เพลงชาวโปแลนด์ ‘เฟรเดริก โชแปง’ (Frédéric Chopin) ได้มาใช้เวลาในช่วงฤดูหนาว (18381839) กับคนรักของเขา Aurore Dupin นักเขียนชาวฝรั่งเศส ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในนามนามแฝงของเธอว่า ‘จอร์จ แซนด์’  (George Sand) โดยพักอยู่ในอารามคาร์ทูเซียน (Carthusian Monastery)  นวนิยายเรื่อง A Winter in Mallorca ของจอร์จ แซนด์  ได้รับแรงบันดาลใจจากทิวทัศน์ภูเขาอันงดงามของวัลเดมอสซา 

ชื่อ Valldemossa มาจากชื่อ ‘มูซา’ (Muza) ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินดั้งเดิมชาวมัวร์ ผู้ปกครองมายอร์ก้าเป็นเวลา 300 ปีนับตั้งแต่ศตวรรษที่ 10  ไม่กี่ทศวรรษหลังจากที่ชาวมัวร์ถูกขับไล่ออกจากมายอร์ก้าโดย พระเจ้าไชเมที่ 1 หรือ ไชเมผู้พิชิต แห่งอารากอน ในปี 1229 ต่อมา ‘รามอน ลอลล์’ (Ramon Llull) นักปรัชญาจากราชอาณาจักรมายอร์ก้า ได้ก่อตั้งอารามนอกเมือง ในปี 1276 อารามแห่งนี้กลายเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้สำหรับพระสงฆ์ฟรานซิสกัน

วัลเดมอสซายังเป็นบ้านเกิดของ ‘Santa Catalina Thomas’ ซึ่งเป็นนักบุญอุปถัมภ์ของมายอร์ก้า (1531-1574)  ได้รับสถาปณาเป็นนักบุญ ‘แคทเธอรีน ออฟ ปัลมา’ (Catherine of Palma) ในปี 1935 บ้านเกือบทุกหลังในวัลเดมอสซามีป้ายอธิษฐานของนักบุญแคทเธอรีน

Spain

ฟริกิเลียนา (Frigiliana, Malaga)

เมืองที่สวยที่สุดในสเปนตอนใต้ ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขา ‘เซียร์รา เด อัลมิจารา’ ทางตะวันออกของมาลากาเพียง 6 กม. และยังอยู่ใกล้กับอุทยานธรรมชาติเซียร์ราเดเตเจดา ‘Sierra de Tejada’ ที่สวยงาม

ฟริกิเลียนาเปรียบเสมือนอัญมณีที่ซ่อนของแคว้นอันดาลูเซีย และมักจะถูกจัดให้อยู่ในรายชื่อ ’10 หมู่บ้านที่สวยที่สุดในสเปน’ เป็นที่รู้จักในนาม “ปวย บลังโก” (pueblo blanco) แปลว่า ‘เมืองสีขาว’

ฟริกิเลียนายังคงไว้ซึ่งโครงสร้างแบบมัวร์ดั้งเดิม ถนนที่ปูด้วยหินแคบๆ ตรอกซอกซอยคล้ายเขาวงกตบ้านสีขาวตัดกับท้องฟ้าสีคราม มีหลังคาหินชนวนสีแดงและประตูสีฟ้า ที่ตกแต่งด้วยดอกเฟื่องฟ้า ดอกเจอเรเนียมสีแดงสดใส ถนนที่แคบ คดเคี้ยว และมักเป็นขั้นบันไดเชื่อมต่อกันด้วยทางเดินที่มีหลังคาซึ่งบางครั้งขนาบข้างด้วยประตู ผ่านย่านประวัติศาสตร์ของเมือง แผ่นเซรามิกสิบสองแผ่นที่ตั้งอยู่ทั่วส่วนเก่าของหมู่บ้าน ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างชาวมัวร์และชาวคริสต์ และการสู้รบครั้งสุดท้ายที่เกิดขึ้น 

ใจกลางเมืองเป็นที่ตั้งของคฤหาสน์สมัยศตวรรษที่ 16 หรือ ‘พระราชวังของเคานต์แห่งฟริกิเลียนา’ (Counts of Frigiliana) ที่โดดเด่น จากศตวรรษที่ 16 ซึ่งต่อมาถูกดัดแปลงเป็นโรงกลั่นน้ำตาลจากอ้อย

ทุกวันพฤหัสฯ จะมีตลาดนัดในใจกลางหมู่บ้าน บริเวณ Plaza de las Tres Culturas โดยปกติจะมีแผงขายของมากมายขายทุกอย่างตั้งแต่เสื้อผ้า หมวก รองเท้า เครื่องหนัง กระเป๋าถือ ผลไม้ และผัก ขนมหวาน เค้ก ศิลปะ เครื่องประดับ เซรามิก และงานฝีมือท้องถิ่น

ในแต่ละปีฟริกิเลียนาจะเป็นเจ้าภาพจัดงานเทศกาลสามวัฒนธรรม (Festival de las Tres Culturas) เป็นเวลาสี่วันในช่วงปลายเดือนสิงหาคม เป็นเทศกาลแห่งเฉลิมฉลองการอยู่ร่วมกันในประวัติศาสตร์ของภูมิภาคนี้ของคริสเตียน มุสลิม และยิว

Spain

อัลบาร์ราซิน (Albarracin, Aragon)

เมืองเล็กๆ ของยอดเขาเซียร์รา อัลบาร์ราซิน บนเทือกเขาอารากอนเหนือแม่น้ำกวาดาลาเวียร์ เป็นหนึ่งในหมู่บ้านที่สวยที่สุดของประเทศ Spain และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติตั้งแต่ปี 1961

อดีตเมืองหลวงของอาณาจักรมัวร์ (ไทฟา-Taifa) อาณาจักรมุสลิมอิสระในคาบสมุทรไอบีเรีย ซึ่งคือบริเวณโปรตุเกสและสเปน ได้ครอบครองภูมิภาคนี้มานานหลายศตวรรษและทิ้งวัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่ไว้มากมาย

ในปี ค.ศ. 711 กองทัพมัวร์จากทางเหนือของแอฟริกาข้ามช่องแคบยิบรอลตาร์ มุ่งหน้าไปทางเหนือเพื่อพิชิตอาณาจักรคริสเตียนวิซิกอธแห่งฮิสปาเนีย ในระหว่างการปกครองของวิซิกอธ อัลบาร์ราซินเป็นที่รู้จักในชื่อซานตา มาริอา เด โอเรียนเต (Santa María de Oriente) แต่ชื่อเมืองอัลบาร์ราซินนี้ได้มาจากราชวงศ์เบอร์เบอร์ (Berber Dynasty) ของตระกูลบานู ราซิน’ (Banu Razin) ที่ครอบครองพื้นที่เมื่อชาวมัวร์พิชิตเมืองในปี ค.ศ.1167 จนกระทั่งปี 1284 ชาวคริสต์ยึดครองมาได้อีกครั้งโดย ‘ปีเตอร์ ที่ 2 ออฟ อารากอน’ (Peter II of Aragon)

เสน่ห์ของอัลบาร์ราซินอยู่เหนือสิ่งอื่นใดในรูปแบบถนนที่ปรับให้เข้ากับสภาพภูมิประเทศที่ซับซ้อนซึ่งอยู่บนเนินเขา การเดินไปตามตรอกแคบๆ ที่สูงชันของเมืองเปรียบเสมือนการก้าวเข้าไปในฉากภาพยนตร์ย้อนยุค บ้านแต่ละหลังห่างกันไม่ถึงหนึ่งช่วงแขน ประตูหน้าสร้างด้วยไม้ที่มีแกนเหล็กกั้นอยู่ ปูนฉาบผนังที่ผุกร่อน ระเบียงเหล็กดัดแกะสลักติดกับผนัง ถนนคดเคี้ยวนำสู่พลาซ่ามายอร์ (Plaza Mayor) จัตุรัสกลางเมืองเล็กๆ ที่รายล้อมไปด้วยร้านกาแฟและร้านอาหาร

มหาวิหารแห่งซัลวาดอร์ เด อัลบาร์ราซิน (The Cathedral of Salvador de Albarracín) สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 16 บนอดีตวิหารโรมาเนสก์ หรือ ‘มูเดจาร์’ สถาปัตยกรามที่ใช้ในอาณาจักรคริสเตียนไอบีเรีย โดยส่วนใหญ่อยู่ระหว่างศตวรรษที่ 13 ถึง 16 มันถูกนำไปใช้กับรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบโรมาเนสก์ กอธิค และเรอเนสซองซ์

แต่สิ่งแรกที่คนทั่วไปประหลาดใจเมื่อมาถึงเมือง ก็คือ กำแพงป้อมปราการอันโอ่อ่าซากของป้อมปราการแห่งแรกของเมือง ‘ตอร์เร เดล อันดาดอร์’ (Torre del Andador) ที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 10 เพื่อปกป้องหุบเขาแม่น้ำอันอุดมสมบูรณ์เบื้องล่าง ในศตวรรษที่ 11 กษัตริย์แห่งอารากอนได้ปรับปรุงกำแพงและป้อมปราการ ในที่สุดเมืองก็พัฒนาขึ้นรอบๆ ซึ่งต่อมาได้มีการเพิ่มกำแพงและหอคอยที่แข็งแรง และเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในยุคกลางที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างสวยงาม

Spain

ลาสเทรส (Llastres, Asturias)

หนึ่งในเมืองที่สวยที่สุดใน Spain หมู่บ้านชาวประมงแห่งนี้เคยได้รับการกล่าวขานถึงในเรื่องของการการล่าปลาวาฬ เป็นป้อมปราการที่ป้องกันการรุกรานที่อาจเกิดขึ้นตามแนวชายฝั่ง

สมัยก่อนชายฝั่งเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์โบราณ ตามด้วยชนเผ่าเซลติกในท้องถิ่นที่รู้จักกันในชื่อ ‘Astures’ จนกระทั่งชาวโรมันบุกเข้ามาในบริเวณตอนเหนือของสเปนในช่วง 29 ปีก่อนคริสตกาล นำโดย ‘ออกุสตุส’ จักรพรรดิองค์แรกของโรมัน ชาวโรมันประสบความสำเร็จในการปราบปรามพวกอัสตูเรียแต่ไม่สามารถพิชิตดินแดนภูเขาตามแนวชายฝั่งทางเหนือของสเปนได้อย่างเต็มที่

หลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันในศตวรรษที่ 5 อัสตูเรียสก็จมอยู่ในความมืดมิดมานานหลายศตวรรษ โดยสามารถหลบเลี่ยงทั้งชนเผ่าวิซิกอธ ผู้ก่อตั้งเมืองหลวงโทเลโด และต่อมาคือพวกมัวร์จากแอฟริกาเหนือ ในปี ค.ศ. 711 พวกมัวร์บุกสเปนและยึดครองดินแดนอันกว้างใหญ่อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแคว้นอันดาลูเซีย อย่างไรก็ตาม เมืองต่างๆ เช่น อัสตูเรียส ซึ่งมีสถานที่ห่างไกลและภูมิประเทศที่ไม่เอื้ออำนวยจึงเป็นอิสระจากอาณาเขตมัวร์ของ ‘อัล-อันดาลุส’ หรือที่เรียกอีกอย่างว่า มุสลิมสเปน (อาณาจักรมุสลิมที่ครอบครองคาบสมุทรไอบีเรียส่วนใหญ่ตั้งแต่ 711)

จนกระทั่งถึง 943 ที่ลาสเทรสถูกกล่าวถึงในเอกสารอย่างเป็นทางการ ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่ากษัตริย์รามิโรที่ 2 แห่งเลออน (King Ramiro II of Leon) ได้บริจาคเงินให้กับโบสถ์คาทอลิกแห่งอัสตูเรียส รวมทั้งซานตา มาเรีย เด ซาบาดา (Santa Maria de Sabada) ซึ่งเป็นชื่อเดิมของลาสเทรส 

ในศตวรรษที่ 14 ภูมิภาคลาสเทรส และอัสตูเรียสถูกรวมเข้ากับราชอาณาจักรสเปน นักสำรวจ กะลาสี และขุนนางที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนั้นมีบทบาทสำคัญในราชสำนักสเปน อย่างไรก็ตามยุคทองที่แท้จริงของลาสเทรส อยู่ในศตวรรษที่ 17 เมื่อชื่อเสียงของหมู่บ้านในฐานะศูนย์กลางการประมงที่สำคัญ และกองเรือขนาดใหญ่ถูกสร้าง และคฤหาสน์อันหรูหราหลายแห่งก็ถูกสร้างขึ้นในช่วงเวลานี้

ปัจจุบัน ทัศนียภาพที่สวยงามของเมือง ถนนที่ปูด้วยหินที่คดเคี้ยว ชายหาดที่สวยงาม ภูเขาที่เขียวขจี บาร์ทาปาสที่ยอดเยี่ยม และฉากวัฒนธรรมที่มีชีวิตชีวา เป็นสถานที่พักผ่อนในฤดูร้อนที่สมบูรณ์แบบ ที่นี่ยังได้รับการยกย่องให้เป็นเมืองที่เป็นแบบอย่างของภูมิภาคอัสตูเรียสอีกด้วย

Spain

คาสเตลฟอลลิต เด ลา โรก้า (Castellfollit de la Roca, Catalonia)

หมู่บ้านที่มีทัศนียภาพสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในแคว้นคาตาโลเนีย หรือ กาตาลุญญา ตั้งอยู่บนยอดหน้าผาตรงจุดบรรจบของแม่น้ำระหว่างแม่น้ำ Fluvià และ Toronell

คาสเตลฟอลลิต เด ลา โรก้าเป็นหนึ่งในเมืองที่เล็กที่สุดในแคว้นกาตาลุญญา ตั้งอยู่บนผาหินบะซอลต์ซึ่งมีความยาวประมาณ 1 กม. และสูง 50 เมตร ซึ่งเมื่อหลายพันปีก่อน สร้างบนซากลาวาที่ไหลจากการปะทุของภูเขาไฟที่เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งแสนปีที่แล้ว จากนั้นการกัดเซาะของแม่น้ำทั้งสองก็ก่อตัวเป็นผาที่หมู่บ้านตั้งอยู่

แนวภูเขาไฟ ลา การ์รอตซา (La Garrotxa) เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่โดดเด่นที่สุดของแคว้นคาตาโลเนีย โดยผสมผสานภูมิทัศน์ธรรมชาติอันเป็นเอกลักษณ์เข้ากับเมืองในยุคกลางที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างสวยงาม เขตลา การ์รอตซา เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของภูมิประเทศภูเขาไฟบนคาบสมุทรไอบีเรีย 

ส่วนเก่าของหมู่บ้านมีมาตั้งแต่ยุคกลาง จุดชมวิวริมหน้าผาและมีทิวทัศน์ที่สวยงามตระการตา ถนนแคบๆ ของเมืองนี้ยังคงเอกลักษณ์ของแหล่งกำเนิดในยุคกลาง และใจกลางเมืองมีกำแพงล้อมรอบซึ่งเสริมกำลังเมืองในช่วงสงครามกลางเมือง บ้านและถนนหลายหลังในใจกลางเมืองสร้างด้วยหินภูเขาไฟ 

ที่ปลายสุดของหน้าผาเป็นที่ตั้งของ โบสถ์เซนต์ซัลวาดอร์ (Sant Salvador Church) ซึ่งมีอายุตั้งแต่ศตวรรษที่ 13  อาคารที่เห็นในปัจจุบันนี้ถูกสร้างขึ้นใหม่เนื่องจากโบสถ์เดิมถูกทำลายในช่วงสงครามกลางเมืองสเปน โบสถ์เก่าได้รับการบูรณะในในสไตล์เรนเนซองส์ตอนปลาย 

สะพานหักซึ่งอยู่ติดกับถนนสายหลักมีประวัติความโชคร้ายมายาวนาน สะพานมีอายุย้อนไปถึงปี 1908 ได้ถูกทำลายลงตั้งแต่การก่อสร้างในปี 1908 ไม่นานหลังจากที่สร้างเสร็จ การเคลื่อนตัวของพื้นดินเบื้องล่างทำให้เกิดรอยร้าวและสะพานถูกปิดลง ต่อมาได้รับการบูรณะในช่วงปลายสงครามกลางเมือง แต่ในปี 1940 น้ำท่วมใหญ่ส่งผลให้เกิดการพังทลายของซุ้มประตูหลักสองแห่ง และสะพานก็ยังคงถูกทิ้งร้างตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

หมู่บ้านเล็กๆ นี้ยังมีโรงเบียร์ขนาดเล็กระดับแนวหน้าของเมือง (Poch’s Microbrewery)โดยผลิตเบียร์หลายประเภท เช่น เอล, เบียร์ดำ และเบียร์ผลไม้ นอกจากนี้ยังเป็นหนึ่งในสถานที่ที่เป็นมิตรที่สุดในเมืองในการจิบเครื่องดื่มเย็นๆ และเจ้าของมีความมุ่งมั่นที่จะให้บริการที่ดีแก่คนในท้องถิ่นและผู้มาเยือน

Spain

ซาน บีเซนเต เด ลา บาร์เกรา (San Vicente de la Barquera, Cantabria)

หมู่บ้านชาวประมงที่มีชื่อเสียง เป็นหนึ่งในภาพที่มีชื่อเสียงและสวยงามที่สุดของชายฝั่งกันตาเบรียในภาคเหนือของสเปน

ซาน บีเซนเต เป็นมรดกทางประวัติศาสตร์ที่โดดเด่น ความสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่สวยงาม การทำอาหารที่มีชื่อเสียง และประเพณีที่ได้รับความนิยมอย่างลึกซึ้ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นในงานเฉลิมฉลองและศิลปะต่างๆ ที่มีเสน่ห์ดังปรากฏในขนบธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่น และแม้กระทั่งในเทศกาลที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ‘ลาโฟเลีย’ (La Folía – ขบวนแห่พระแม่มารีที่มีการเฉลิมฉลองในวันอาทิตย์ที่สองหลังเทศกาลอีสเตอร์)

ซาน บีเซนเต ได้รับการประกาศให้เป็นสถานที่ทางวัฒนธรรมในปี 1987 เนื่องจากมีอนุสรณ์สถานที่ ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์หลายแห่ง เช่น โบสถ์ ปราสาท ซากกำแพง และสะพานยังมีส่วนเกี่ยวข้องมากมายกับความงามของเมืองนี้ 

สถานที่ที่สวยงามที่สุดในซาน บีเซนเต อยู่ในเขตเมืองเก่าบริเวณจตุรัสพลาซ่ามายอร์ เดล ฟูเอโร (Plaza Mayor del Fuero) ถนนแคบๆ ผ่านหอคอย Provost Tower ซึ่งชวนให้นึกถึงเมืองในยุคกลางที่ติดกับกำแพงเมืองสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 13 นำขึ้นไปสู่ปราสาท Castillo del Rey ปราสาทหินที่สร้างในปี 1210 ในสมัยอัลฟองโซที่ 1

ตรอกลาดเอียงนี้นำไปสู่อาคารที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งคือ Palacio de los Corro พระราชวังยุคเรอเนสซองส์แห่งนี้ตั้งอยู่ในส่วนบนของ Old Puebla ของเมือง ปัจจุบันเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของสภาเมือง ส่วนที่โดดเด่นที่สุดคือโบสถ์ซานตา มาเรีย (Santa María de los Ángeles) ซึ่งสร้างขึ้นระหว่างศตวรรษที่ 13 ถึง 16 ในศตวรรษที่ 15 มีการสร้างคอนแวนต์เก่าของฟรานซิสกันแห่งซาน ลุยส์ ซึ่งปัจจุบันเห็นได้แต่ซากปรักหักพัง 

สะพานเป็นอีกสัญลักษณ์หนึ่งของเอกลักษณ์ของเมือง เช่น สะพานมาซา (Puente Las Mazas) ซึ่งมีซุ้มโค้ง 28 แห่ง ซึ่งสร้างขึ้นตามคำสั่งของพระมหากษัตริย์คาทอลิกในศตวรรษที่ 16

เมืองเก่าของซาน บีเซนเต ตั้งอยู่ตรงข้ามกับเทือกเขา ‘Picos de Europa’ ที่ตั้งตระหง่าน ทั้งหมดนี้ทำให้ที่หลบภัยของชาวประมงโบราณแห่งนี้เป็นหนึ่งในสถานที่ในอุดมคติของนักเดินทาง

Spain

อัลกาลา เดล ฆูการ์ (Alcala del Jucar, Castilla la Mancha)

เมืองในเทพนิยายยุคกลาง สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่งดงาม เป็นเมืองที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งในอัลบาเซเต และเป็นเมืองที่มีเสน่ห์มากที่สุดแห่งหนึ่งในกัสติยา-ลามันชา และใน Spain

อัลกาลา เดล ฆูการ์ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองอัลบาเซเต แคว้นกัสติยา-ลามันชา ได้รับการประกาศให้เป็นศูนย์รวมศิลปะเชิงประวัติศาสตร์ในปี 1982 จากกระทรวงวัฒนธรรมสเปน และในปี 1986 ได้รับรางวัลที่สาม ในด้านการจัดแสงเชิงศิลปะของอนุสรณ์สถานและภูมิทัศน์ (Iluminación artística) รองจากหอไอเฟล และมัสยิดชามลีกาในอิสตันบูล

เสน่ห์ของที่นี่อยู่ที่ความเรียบง่ายของบ้านเรือนสีขาวที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีที่ตั้งอยู่เรียงรายอยู่บนเนินระหว่างหุบเหว สะพานที่ข้ามแม่น้ำถูกสร้างขึ้นโดยชาวโรมัน และสร้างใหม่ในศตวรรษที่ 18 พื้นที่ในเมืองตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำฆูการ์ (Júcar River) บ้านเรือนจึงตั้งตระหง่านบนทางลาดคดเคี้ยวไปตามเส้นทางโค้งของแม่น้ำ ถนนที่แคบและสูงชัน เป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างความเป็นเมืองและธรรมชาติ การจัดวางบ้านเรือนไว้ใต้เงาของป้อมปราการปราสาทที่มีต้นกำเนิดจากชาวมัวร์ซึ่งสร้างขึ้นระหว่างศตวรรษที่ 12-13 เพื่อปกป้องดินแดนจากการรุกรานของกองทหารสเปน 

ในปี ค.ศ. 1213 ปราสาทถูกยึดครองโดยกองทหารของ พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 8 แห่งกัสติยา (Alfonso VIII of Castile) ประชากรคริสเตียนตั้งรกรากอยู่ในป้อมปราการและจนถึงศตวรรษที่ 16 โบสถ์ประจำเมือง ซาน อันเดรียส (San Andrés Church) มีทัศนียภาพที่สวยงามของบริเวณโดยรอบ สร้างสมัยศตวรรษที่ 16-18 อยู่ภายในกำแพงล้อมรอบ หอระฆังปัจจุบันสร้างขึ้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 15 ตามคำสั่งของ ฆวน ปาเชโก มาควิสแห่งวิลเลนา (Juan Pacheco, Marqués de Villena) ขุนนางแห่งกัสติยา ตัวปราสาทมีความคล้ายคลึงกันกับปราสาทอื่นๆ เช่น ปราสาทอัลกาคอน (Parador de Alarcón), ปราสาทแซ็ก (Castillo de Sax), ปราสาทวิลเลนา (Castillo de Villena), ปราสาทอัลเมนซา (Castle of Almansa) และ ปราสาทชินชิลลา (Castle of Chinchilla) 

Spain

รอนด้า (Ronda, Andalusia)

ตั้งอยู่บนที่ราบสูงบนภูเขาในแคว้นอันดาลูเซีย ไม่ไกลจากชายหาดของคอสตา เดล โซล และยังเป็นหนึ่งในเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของ Spain ที่การตั้งรกรากครั้งแรกโดยชาวเคลต์ และต่อมาเป็นที่อยู่อาศัยของชาวโรมัน และ ชาวมัวร์

รอนด้ายังคงรักษาเสน่ห์ดั้งเดิมไว้มากมาย บรรยากาศแบบเมืองเล็กๆ ที่สัมผัสได้ถึงประวัติศาสตร์ที่อยู่รอบๆ ตัว ถนนที่ปูด้วยหิน คฤหาสน์เก่าแก่ และโบสถ์หิน เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าบรรดาศิลปินและนักเขียนเช่น Orson Welles, Alexander Dumas และ Ernest Hemingway ที่มาค้นหาแรงบันดาลใจในจุดหมายปลายทางที่ยังคงความเป็นธรรมชาติมากที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรป

ใจกลางรอนดาคือช่องเขาเทกัส (El Tajo Gorge) ที่เกิดจากการกัดเซาะของแม่น้ำกัวดาเลวิน (Guadalevín River)  กลายเป็นแนวป้องกันที่น่าเกรงขามของผู้รุกราน ช่องเขาตัดผ่านใจกลางแยกเมืองรอนดาออกเป็นสองส่วน ด้านหนึ่งเป็นย่านเมืองเก่าของมัวร์ และอีกด้านคือเขตเมืองใหม่เมอร์คาดิลโล (El Mercadillo) ในศตวรรษที่ 15 และมีสะพานสามแห่งข้ามช่องเขาเพื่อเชื่อมถึงกัน

สะพาน Puente Nuevo หรือสะพานใหม่ที่มีชื่อเสียงที่สุดของรอนดาที่ปรากฏในภาพโปสการ์ดสุดคลาสสิกของเมือง ซึ่งเป็นซุ้มประตูสามโค้งขนาดยักษ์ที่มีเสายาว 120 เมตรลงไปที่ส่วนลึกของหุบเขา ที่เปิดใช้ในปี 1783 หลังจากใช้เวลาสร้าง 40 ปี  นอกจากนี้ยังสะพานเก่าแก่อีกสองแห่ง ได้แก่ สะพาน Puente Viejo (สะพานเก่า) และสะพานซานมิเกล (Bridge of San Miguel) หรือที่เรียกว่า ‘สะพานอาหรับ’

‘Plaza del Toros’ ซึ่งเป็นหนึ่งในสนามสู้วัวกระทิงที่เก่าแก่และน่าประทับใจที่สุดของ Spain ถูกสร้างขึ้นในปี 1785 และสามารถจุผู้ชมได้ถึง 5,000 คน

‘Ronda’s Arab Baths’ คือโรงอาบน้ำอาหรับนอกกำแพงเมือง เป็นโรงอาบน้ำที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีที่สุดในสเปน สร้างขึ้นในช่วงยุคมัวร์ในศตวรรษที่ 12 และถูกใช้โดยเพื่อชำระตัวเองให้บริสุทธิ์ก่อนไปมัสยิด ซึ่งมีการออกแบบคล้ายกับโรงอาบน้ำโรมัน

จัตุรัส Plaza Duquesa de Parcent อันยอดเยี่ยมที่มีทั้งอารรามและโบสถ์สองแห่งเป็นจุดที่สวยงามสำหรับการนั่ง จิบไวน์แดงที่มีชื่อเสียงของอันดาลูเซียอย่าง Crianza หรือ Tinto Joven พร้อมซึมซับบรรยากาศของประวัติศาสตร์และจิตวิญญาณของเมืองโบราณแห่งนี้

โมเรลลา (Morella, Castellón)

หนึ่งในหมู่บ้านที่สวยที่สุดใน Spain ในจังหวัดกัสเตยอน หมู่บ้านยุคกลางแห่งนี้ที่มีกำแพงล้อมรอบคล้ายกับเมืองการ์กาซอนในฝรั่งเศส เมืองดูบรอฟนิกในโครเอเชีย หรือเมืองดิยาร์บากีร์ในตุรกี 

เมืองโบราณที่มีกำแพงล้อมรอบที่งดงามราวภาพวาดแห่งนี้น่าประทับใจอย่างยิ่ง ตั้งอยู่บนภูเขาสูงจากระดับน้ำทะเล 984 เมตร ป้อมปราการแน่นหนาแห่งนี้เป็นศูนย์กลางที่สำคัญเมื่อหลายศตวรรษก่อน ซึ่งผ่านสงครามหลายครั้ง มหาอำนาจโบราณจำนวนมากยึดครองเมืองนี้ในบางช่วง ตั้งแต่ชาวกรีกและชาวคาร์เธจ ไปจนถึงชาวโรมัน ชาวมัวร์ และมีบทบาทสำคัญในระหว่างสงครามนโปเลียน ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 17 จนถึงสงครามกลางเมืองในสเปน โมเรลลามักถูกแย่งชิง เนื่องจากสถานการณ์ทางยุทธศาสตร์ระหว่างเอโบรและที่ราบชายฝั่งวาเลนเซีย   

นอกจากปราสาทแล้ว เมืองนี้ยังมีสมบัติล้ำค่าอีกมากมาย เช่น ‘หอคอย Sant Miquel’ ที่สวยงามและโดดเด่น หรือ ‘มหาวิหารซานตามาเรีย ลา เมเจอร์’ (Església de Santa Maria la Major) เป็นหนึ่งในโบสถ์ที่สวยที่สุดในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งเป็นอัญมณีแห่งศาสนาแบบโกธิกอย่างแท้จริง ซึ่งสร้างขึ้นระหว่างปี 1265-1343

พิพิธภัณฑ์ Temps de Dinosaures เนื่องจากโมเรลลาเป็นพื้นที่ที่ก่อตัวขึ้นระหว่างปลายยุคจูราสสิกและยุคครีเทเชียสตอนต้น ระหว่าง 146 ถึง 98 ล้านปีก่อน และมีการค้นพบซากไดโนเสาร์ในคาบสมุทรไอบีเรียซึ่งมีความมั่งคั่งทางบรรพชีวินวิทยามากมายในภูมิภาคนี้

ทุกๆ หกปี พลเมืองจะเฉลิมฉลอง Sexenni เพื่อเป็นเกียรติแก่พระแม่มารีแห่งวัลลิวานา ‘เวอร์เกน เดอ วัลลิวานา’ (Virgen de Vallivana) นักบุญอุปถัมภ์ของเมือง ซึ่งเป็นการระลึกถึงการฟื้นตัวของเมืองจากโรคระบาดร้ายแรงในปี  1672 เทศกาลนี้จัดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของเดือนสิงหาคม ทั้งเมืองจะประดับด้วยพรมและเครื่องประดับที่ชาวเมืองทำขึ้น การเต้นรำคนหนุ่มสาวสวมชุดที่สวยงามในขบวนพาเหรดนั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และมีความเก่าแก่มาก 

นอกจากนี้ ภาพวาดในถ้ำของโมเรลลา ลา เวลลา (Morella la Vella) ในเทือกเขาโมเรลลา ลา เวลลา ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของผู้ตั้งถิ่นฐานกลุ่มแรกในดินแดนเหล่านี้ ซึ่งได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกโดยยูเนสโกในปี 1988

เปนิสโกลา (Peniscola, Castellón)

มักเรียกกันว่า ‘ยิบรอลตาร์แห่งวาเลนเซีย’ หรือ “เมืองแห่งท้องทะเล” ตั้งอยู่บนอ่าวคอสตา เดล อาซาฮาร์ ในจังหวัดกัสเตยอน ชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ภูมิภาควาเลนเซียและมูร์เซียของสเปน 

เปนิสโกลาเป็นหนึ่งในเมืองที่สวยที่สุดของสเปน ในอดีตคือหมู่บ้านชาวประมงดั้งเดิมสร้างขึ้นบนแหลมหินติดกับแผ่นดินใหญ่ ที่มีสมดุลระหว่างความเก่ากับความใหม่ เป็นตัวอย่างที่ค่อนข้างโดดเด่นของปราสาท และกำแพงยุคกลางที่ล้อมรอบด้วยน้ำอย่างมีเสน่ห์

หากอัศวินเทมพลาร์ (Knights Templar) คือความลึกลับและตำนานที่ยิ่งใหญ่จากอดีตมาถึงปัจจุบัน ในเปนิสโกลายังเป็นที่ตั้งของหนึ่งในตำนานเหล่านี้ นั่นคือปราสาทเปนิสโกลา (Castillo de Peñíscola) ที่สูงตระหง่าน 64 เมตรเหนือน้ำทะเลสีฟ้าคราม สร้างขึ้นระหว่างปี 1294-1307 โดยอัศวินเทมพลาร์เพื่อช่วยปกป้องพื้นที่จากชาวมัวร์และโจรสลัด โดยสร้างบนฐานรากของป้อมปราการของชาวมัวร์ที่สร้างขึ้นเมื่อปี 718 

ปราสาทเปนิสโกลา แสดงให้เห็นสถาปัตยกรรมแบบโกธิกที่มีลักษณะเฉพาะแบบโรมาเนสก์และสไตล์ซิสเตอร์เรียนที่เคร่งครัด มีความคล้ายคลึงกับปราสาทมิลาเวต (Castello de Miravet) ที่สร้างขึ้นโดยชาวมัวร์ในศตวรรษที่ 9 และเป็นหนึ่งในปราสาทสุดท้ายของมัวร์แห่งแคว้นคาตาโลเนีย

สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 13 แห่งอาวีญง หรือที่เรียกกันว่า ‘สมเด็จพระสันตะปาปาลูน่า’ อาศัยอยู่ที่ปราสาทเปนิสโกลา ตั้งแต่ปีค.ศ.1411 จนกระทั่งถึงแก่กรรมในปีค.ศ.1423 ต่อมาในปี 1233 ปราสาทตกไปอยู่ในการครอบครองของพระเจ้าไชเมที่ 1 แห่งอารากอน  ในปี ค.ศ. 1319 ปราสาทก็ตกไปอยู่ในมือของอัศวินสเปน (Order of Montesa-ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1316 โดยพระเจ้าเจมส์ที่ 2 แห่งอารากอน) หลังจากการล่มสลายของอัศวินเทมพลาร์ในการต่อสู้กับพวกมัวร์

ในปี 1972 เปนิสโกลาได้รับการประกาศให้เป็นเขตอนุรักษ์ประวัติศาสตร์ และในเดือนตุลาคม 2015 เปนิสโกลาถูกใช้เป็นเป็นสถานที่ถ่ายทำซีรีย์เรื่อง ‘Game of Thrones’

คูมิลลาส (Comillas, Cantabria)

หนึ่งเมืองที่สวยที่สุดแห่งแคว้นกันตาเบรีย ตั้งอยู่บนชายฝั่งตะวันตกของกันตาเบรียใกล้กับเมืองซานตานเดร์ เมื่อขุดลึกลงไปในต้นกำเนิด เมืองได้บันทึกการตั้งถิ่นฐานครั้งแรกในยุคก่อนประวัติศาสตร์ดังที่ปรากฏภาพเขียนยุคหินเก่า (Palaeolithic) ในถ้ำ ‘La Meaza’ ซึ่งมีอายุถึง 14,000 ปีที่แล้ว

คูมิลลาสได้รับการประกาศให้เป็นโบราณสถาน-ศิลปกรรมในปี 1985 และเป็นที่รู้จักในชื่อเล่นว่า “วิลลา เด ลอส อาร์โซบิสปอส” “ Villa de los Arzobispos” เพราะเป็นบ้านเกิดของพระนักบวชที่มีตำแหน่งสูงในศาสนจักรในศตวรรษที่ 17-18 คือ บิชอปแห่งเซวตา, อาร์ชบิชอปแห่งลิมา, อาร์คบิชอปแห่งกัวเตมาลา,  บิชอปแห่งโซโนรา, อาร์ชบิชอปแห่งบูร์โกส และ บิชอปแห่งชาชาโปยาส 

คูมิลลาสเต็มไปด้วยตัวอย่างสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ที่ยอดเยี่ยมจากศตวรรษที่ 19 พระราชวัง คฤหาสน์ อาคารที่สวยงาม จัตุรัสขนาดเล็ก สวนสาธารณะ และถนนที่ปูด้วยหิน ทำให้ภูมิทัศน์ของสถานที่ที่สวยงาม คฤหาสน์สไตล์คลาสสิก รวมทั้งอาคารต่างๆ ที่ตั้งอยู่ในสภาพแวดล้อมซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

จตุรัสในใจกลางของเมืองประกอบอาคารประวัติศาสตร์หลายแห่ง เช่น โบสถ์ Parish Church of San Cristóbal (ศตวรรษที่ 17) ศาลาว่าการเมือง ซึ่งมีโล่หกอันที่เตือนให้ระลึกถึงนักบวชแขวนอยู่ที่ด้านหน้าหลัก และบริเวณPlaza de los Tres Caños ซึ่งนอกจากบ้านที่ประดับประดาและหอคอยแล้วยังมีน้ำพุที่มีชื่อเดียวกัน

และซากปรักหักพังของโบสถ์แบบโกธิกที่ตั้งอยู่ในเขตชานเมือง ตรงจุดนี้เองที่รูปปั้น ‘เทวดาผู้พิทักษ์’ ซึ่งเป็นผลงานของ Josep Llimona ประติมากรชาวคาตาลัน ในสไตล์โมเดิร์นนิสม์ ค.ศ. 1895

ไม่เพียงบาร์เซโลนาเท่านั้นที่มีผลงานที่มีชื่อเสียงของ อันตอนี เกาดี (Antoni Gaudí) เพราะเมืองคูมิลาสนี้จะทำให้ทึ่งกับอาคาร El Capricho ที่มีลักษณะเฉพาะซึ่งคล้ายกับสุเหร่าเปอร์เซีย สร้างขึ้นระหว่างปี 1883- 1885 เป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมของอันตอนี เกาดีเช่นกัน โดยใช้กระเบื้องสีตัดกันอย่างมีชีวิตชีวา ในบริเวณใกล้เคียงมีพระราชวัง Palace of Sobrellano ในสไตล์นีโอกอทิกผสมผสานกับศิลปะสมัยใหม่ ตั้งตระหง่านอยู่เหนือผืนน้ำ ซึ่งเกาดีเป็นผู้ออกแบบภายในของพระราชวังนั้นด้วย และที่นี่ก็ใช้เป็นที่ประทับหลักของราชวงศ์สเปนในระหว่างการเยือนโคมิลลาส

โอลิเต้ (Olite, Navarra)

ยากที่จะเชื่อว่าเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้เคยเป็นเมืองหลวงของภูมิภาคนี้นาวาร์ 

หนึ่งในเมืองที่มีกำแพงล้อมรอบที่มีเสน่ห์อันเป็นของปราสาทซึ่งเป็นดั่งอนุสาวรีย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เหมือนปราสาทเทพในนิยาย นี่คือหนึ่งในเมืองยุคกลางที่สวยที่สุดในยุโรป ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของสเปน ในภูมิภาคนาวาร์ บริเวณนี้เคยเป็นที่อยู่อาศัยของพวกวาคอน (Vascons) ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของชาวบาสก์ (Basques) ในปัจจุบัน

เมืองยุคกลางที่มีอดีตที่ปั่นป่วนวุ่นวายมากมาย จากเดิมทีถูกครอบครองโดยชนเผ่าวาคอน ต่อมาถูกยึดครองโดยพวกมัวร์ ซึ่งขับได้ขับไล่ชนเผ่าวาคอนไปทางเหนือ ภายหลังชาวมัวร์พ่ายแพ้ต่อชาร์แลร์มาญ ในปีค.ศ.778 ในศตวรรษที่ 12 ถูกฝรั่งเศสเข้าควบคุมในภายหลัง ในปี 1234 นั้นเกิดความปั่นป่วนโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อขุนนางนาวาร์พยายามได้เรียกร้องเอกราชคืน ในที่สุดฝรั่งเศสก็พ่ายแพ้ด้วยความช่วยเหลือของกษัตริย์แห่งกัสติยาในปี ค.ศ.1512 และโอลิเต้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสเปน 

ปราสาท Olite Castle (Palacio Real de Olite) เป็นสัญลักษณ์ของลักษณะเฉพาะของราชวงศ์นาวาร์ในยุคกลางตอนปลาย จนกระทั่งรวมเข้ากับแคว้นคาสตีลในศตวรรษที่ 16 ได้รับการประกาศให้เป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติในปี ค.ศ. 1925 ในช่วงศตวรรษที่ 13-15 มีการดัดแปลงขยายปราสาทเดิมหลายครั้ง โดยเฉพาะที่สำคัญที่สุดจะเกิดขึ้นในสมัย พระเจ้าคาร์ลอสที่ 3 แห่งนาวาร์ (King Carlos III of Navarre) ปราสาทแห่งนี้ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงระหว่างสงครามนโปเลียน และได้รับการบูรณะอีกครั้งในช่วงต้นศตวรรษที่ 20  

โบสถ์ซานตามาเรีย (Iglesia de Santa Maria la Real de Olite) เป็นโบสถ์สไตล์โกธิกสมัยศตวรรษที่ 13 โดยมีประติมากรรมบริเวณทางเข้าซึ่งมีอายุย้อนไปถึงศตวรรษที่ 15 อย่างไรก็ตามโบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดในโอลิเต้คือ โบสถ์ซานเปโดร (San Pedro Church) ซึ่งสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 12 และมีซุ้มและอารามสไตล์โรมาเนสก์ที่สวยงาม 

ในช่วงสุดสัปดาห์ที่สองของเดือนสิงหาคมของทุกปีโอลิเต้จะจัดเทศกาลยุคกลางขนาดใหญ่ เมืองนี้เต็มไปด้วยช่างฝีมือ นักเชิดหุ่น นักยิงธนูและนักเล่นกล นอกจากนี้ยังมีการจัดการแข่งขันอัศวินและคนทั้งเมืองแต่งกายด้วยชุดยุคกลาง เนื่องจากสภาพภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน โอลิเต้เป็นเมืองหลวงแห่งไวน์ของนาวาร์รา และมี ‘ห้องใต้ดิน’  เชิงพาณิชย์เจ็ดและโรงบ่มไวน์ Bodegas Carricas ที่มีชื่อเสียงตั้งอต่ในศตวรรษที่ 15

เซเตนิล เด ลาส โบเดกาส (Setenil de las Bodegas, Andalusia)

แคว้นอันดาลูเซียมีหมู่บ้านสีขาวที่มีเสน่ห์มากมายกระจายอยู่ทั่วภูมิภาค หมู่บ้านสีขาวแห่งนี้มีชื่อเสียงเนื่องจากบ้านบางหลังถูกสร้างไว้ในและใต้หินที่ยื่นออกมา กลายเป็นหนึ่งในเมืองที่สวยที่สุดในกาดิซและในดินแดนสเปน บ้านและอาคารต่างๆ เรียกว่า “ที่พักพิงใต้โขดหิน” 

ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์จนถึงปัจจุบัน ความลาดชันของช่องเขาแม่น้ำกวาดาลปอร์คุนได้ก่อให้เกิดรูปแบบที่อยู่อาศัยที่มีเอกลักษณ์เฉพาะในเมืองสีขาว สวยงาม และไม่มีใครรู้จักแห่งนี้ 

เซเตนิล เด ลาส โบเดกาส ตั้งอยู่ในหุบเขาลึกของแม่น้ำทากัส ในเขตเมืองกาดิซ ได้รับการประกาศให้เป็นโบราณสถานของสเปนตั้งแต่ปี 1985 เป็นหนึ่งในหมู่บ้านที่สวยที่สุดในสเปน และนิตยสาร ‘European Best Destinations’ ยังได้ตีพิมพ์รายชื่อจุดหมายปลายทางที่ไม่รู้จัก ที่ดีที่สุดในยุโรปในปี 2019 อีกด้วย 

‘ถนนถ้ำแห่งดวงอาทิตย์’ (Street Caves of the Sun) เป็นถนนที่ได้รับความนิยมมากที่สุดและถ่ายภาพหมู่บ้าน  เป็นถนนแคบๆ จนถึงขอบแม่น้ำทากัส บ้านพักที่นี่แกะสลักจากภูเขา มีบาร์ ร้านอาหาร และเฉลียงมากมายในนั้น นอกจากนี้ ยังจะได้พบกับถนนที่มีลักษณะเฉพาะเหล่านี้ในเมือง เช่น Calle Cuevas de la Sombra, Mina, Cuevas de San Ramón, Herrería, Jabonería, Calcetas, Cabreriza, Triana เป็นต้น

จัสตุรัสพลาซ่าเดออันดาลูเซีย (Plaza de Andalucía) เป็นจัตุรัสกลางเมืองที่รายล้อมไปด้วยบาร์ ร้านอาหาร ฯลฯ การเข้าถึงเป็นพื้นที่เปิดโล่ง เป็นที่ตั้งของศาลาว่าการเก่าแก่ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อต้นศตวรรษที่ 16   ปราสาทเซเตนิล เด ลาส โบเดกาส จากยุคมัวร์ ศตวรรษที่ 12 เป็นป้อมปราการที่มีต้นกำเนิดในยุคกลาง มีกำแพง 530 เมตรและสี่สิบหอคอย อ่างเก็บน้ำและซากกำแพงที่ยังหลงเหลืออยู่ตั้งอยู่ในส่วนที่สูงที่สุดของเมือง ‘Torreón del Homenaje’ เป็นป้อมปราการเพียงแห่งเดียวที่เหลืออยู่ ตั้งแต่ศตวรรษที่ 12-13 ซึ่งตั้งอยู่ในส่วนบนของหมู่บ้าน มีการพยายามโจมตีหลายครั้งจนกระทั่งในที่สุดเมื่อกองทัพคริสเตียนขับไล่พวกมัวร์ได้สำเร็จในปี 1484

กวาดิซ (Guadix, Andalusia)

ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของสเปน ฝั่งตะวันออกของกรานาดา แคว้นอันดาลูเซีย เมืองเก่าที่ได้รับการประกาศให้เป็นสถานที่น่าสนใจทางวัฒนธรรม โดยมีป้อมปราการอาหรับยุคกลาง มหาวิหาร และอาคารสไตล์มูเดจาร์ต่างๆ ที่โดดเด่น แม้ว่าสิ่งที่โดดเด่นที่สุดในเมืองนี้คือเขต ที่มีบ้านถ้ำแบบดั้งเดิม

กวาดิซเป็นหนึ่งในการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ที่เก่าแก่ที่สุดในสเปน มีผู้คนอาศัยอยู่ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ดังที่เห็นได้จากซากทางโบราณคดีมากมายที่พบในพื้นที่ที่สอดคล้องกับมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ‘นีแอนเดอธัล’ และปลายยุคหิน จนถึง ยุคโลหะ หลายศตวรรษต่อมาก็ถูกรุกรานโดยชาวฟืนีเซียนและชาวคาร์เธจ กวาดิซถูกเรียกว่า ‘Acci’ ซึ่งเป็นชื่อเดิมก่อนหน้าชื่อ ‘Wadi’ หรือ ‘Guad Acci’ ต่อมากลายเป็นอาณานิคมที่สำคัญของโรมันที่เรียกว่า ‘Julia Gemella Acci’ และเป็นหนึ่งในสังฆมณฑลคริสเตียนแห่งแรกในสเปน 

จากภูมิประเทศที่มีความลาดชันที่ยื่นออกไปสู่เชิงเขาเซียร์ราเนวาดา ภูเขาหินขรุขระสีเหลือง มีปล่องไฟสีขาว และประตูของถ้ำที่ขาวโพลนตัดกันอย่างมากกับยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะของเซียร์ราเนวาดาซึ่งสูงตระหง่านอยู่เหนือหมู่บ้าน เมื่อเดินไปตามเส้นทางโบราณ จะเห็นซากปรักหักพังจากยุคไอบีเรีย และซากเมืองอักซี (Guadix) ของโรมันที่ก่อตั้งโดยจูเลียส ซีซาร์ ป้อมปราการอาหรับบนยอดเขาที่ได้รับการประกาศให้เป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติ สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 11 ลักษณะที่น่าสนใจที่สุดของกวาดิซคือชาวเมืองใหญ่จำนวนมากอาศัยอยู่ในถ้ำใต้ดินทางตอนใต้ของเมือง 

ในศตวรรษที่ 8 หลังการมาถึงของชาวมัวร์ มรดกของพวกเขายังคงสามารถสัมผัสได้อย่างมากในโบสถ์สไตล์มูเดจาร์ เทคนิคทางการเกษตรที่ยังคงใช้มาจนถึงทุกวันนี้ และที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือในชื่อสถานที่ของชาวอาหรับหลายแห่ง นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างที่โดดเด่นของสถาปัตยกรรม เช่น โบสถ์กวาดิซ (Guadix Cathedral)  ที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 16 และ ‘Castillo de la Calahorra’ พระราชวังยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในสเปน สร้างขึ้นระหว่างปี 1509 – 1512 เป็นหนึ่งในปราสาทยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาอิตาลีแห่งแรกที่อยู่นอกอิตาลี

ภูมิประเทศเฉพาะของกวาดิซได้ก่อให้เกิดที่อยู่อาศัยในถ้ำที่ไม่เหมือนใคร เนื่องจากถูกขุดลงไปใต้ดิน จึงมั่นใจได้ว่าอุณหภูมิจะคงที่ตลอดทั้งปี ชาวบ้านจะอบอุ่นในฤดูหนาวและเย็นสบายในฤดูร้อน หัตถศิลป์ท้องถิ่นที่ได้รับยกย่องว่าเป็นงานศิลปะอันทรงคุณค่าจาก คืองานเซรามิกที่โดดเด่นมากและรูปแบบเฉพาะสำหรับวัตถุบางอย่าง เช่น เหยือก โถ Jarra Accitana หรือ Torico de Guadix รวมถึง งานหิน เครื่องจักสาน และงานเหล็ก ถือเป็นศิลปะของช่างท้องถิ่นที่สืบต่อเนื่องกันมาจากอดีต

จากา (Jaca, Aragon)

จากาเป็นที่รู้จักในนาม “ไข่มุกแห่งเทือกเขาพิเรนีส” และยังเป็นจุดแวะสำคัญในเส้นทาง “Camino de Santiago” เป็นเส้นทางแสวงบุญของเหล่าชาวคริสต์ เพื่อไปยังอาสนวิหาร ซานติอาโก เดอ คอมโพสเตลา ในแคว้นกาลิเซียทางตะวันตกเฉียงเหนือของสเปน   

จากาได้รับการตั้งรกรากตั้งแต่ศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสต์ศักราช ในปี ค.ศ. 1035 รามิโรที่ 1 กษัตริย์องค์แรกของอารากอนได้แต่งตั้งให้จาคาเป็นเมืองหลวง อาณาจักรเล็กๆ แห่งอารากอนขยายตัวภายใต้รามิโรที่ 1 ด้วยชัยชนะทางทหารต่อทั้งชาวมัวร์และชาติคริสเตียน ในสมัยของซานโช รามิเรซ (Sancho Ramírez) กษัตริย์แห่งอารากอน (ค.ศ. 1063-1094 ) มหาวิหารและกำแพงเมืองถูกสร้างขึ้น จากนั้นจากาก็เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น 

เวลาของจากาในฐานะเมืองหลวงของอารากอนสิ้นสุดลงในปี 1096 ด้วยการยึดครองกองทัพชาวมัวร์ เมืองหลวงถูกย้ายไปยังเมืองที่ใหญ่กว่านี้ และในศตวรรษต่อมาได้ย้ายลงใต้อีกครั้งไปยังซาราโกซา 

ศูนย์กลางประวัติศาสตร์ของเมืองได้รับการประกาศให้เป็นที่น่าสนใจทางวัฒนธรรม ป้อมปราการ “Ciudadela” เป็นที่รู้จักกันในนาม “ป้อมปราการแห่งจากา” เป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของสถาปัตยกรรมทางทหารสมัยศตวรรษที่ 16 ซึ่งได้รับการประกาศให้เป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติ ในรัชสมัยของพระเจ้าฟิลิปที่ 2 และเป็นปราสาทแห่งแรกในสเปนที่สร้างขึ้นเพื่อป้องกันการยิงปืนใหญ่ที่มีกำแพงหนาและต่ำ ป้อมปราการจาคา ยังคงสมบูรณ์ด้วยคูเมือง ป้อมปราการ ค่ายทหาร คลังแสง และอุโมงค์ ตลอดจนทางเข้าพร้อมสะพานชัก ที่สวยงาม อาคารมีผังพื้นเป็นรูปทรงห้าเหลี่ยมพร้อมปราการรูปลูกศรในแต่ละมุม 

นอกจากนี้ยังมีอาคารที่โดดเด่นอื่นๆ มากมายในจาคา เช่น มหาวิหารจาคา (Jaca Cathedral) มหาวิหารที่อุทิศให้กับนักบุญซานเปโดร เป็นโบสถ์แบบโรมาเนสก์แห่งแรกในสเปน และถือเป็นหนึ่งในอนุสรณ์สถานแบบโรมาเนสก์ที่สำคัญที่สุดของสเปน การก่อสร้างเริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1077 ในรัชสมัยของซานโช รามิเรซ และแล้วเสร็จในปี ค.ศ. 1130 

‘หอนาฬิกา’ หรือที่รู้จักในชื่อ ‘หอเรือนจำ’ เป็นอาคารสไตล์โกธิกสี่ชั้นที่มีห้องใต้ดินหลังคาโค้ง สร้างขึ้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 15 เพื่อแทนที่เรือนจำเดิมที่ถูกยไฟในปีค.ศ.1440 และ อาราม San Juan de la Peña Monastery ที่ประกอบด้วยอาคาร 2 หลัง คือ อารามใหม่ ซึ่งมีอายุตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17 ในสไตล์บาโรก และอารามเก่าตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 10 ในรูปแบบโรมาเนสก์

โมจาการ์ (Mojacar, Andalucía)

หมู่บ้านสีขาวตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองอัลเมเรีย แคว้นอันดาลูเซีย ทางตอนใต้ของสเปน ความงามของหมู่บ้านโมจาการ์ ซึ่งเป็นแหล่งหลอมรวมของบ้านสีขาวจำนวนมาก ซึ่งอยู่บริเวณปลายสุดของเชิงเขาเซียร่า เดอ คาบรีรา (Sierra de Cabrera)  

พื้นที่นี้มีการตั้งถิ่นฐานของนมุษย์มาตั้งแต่ยุคสำริดเมื่อ 2000 ปีก่อนคริสตกาล และต่อมาถูกครอบครองโดยชาวฟินีเซียน ชาวคาร์เธจ ชาวกรีก ชาวโรมัน และชาวมัวร์ในแอฟริกาเหนือในช่วงต้นศตวรรษที่ 8 ได้ทิ้งร่องรอยอันยาวนานของพวกเขาไว้ที่โมจาการ์ และกองทัพคริสเตียนพิชิตภูมิภาคนี้เมื่อปลายศตวรรษที่ 15 

ในศตวรรษที่ 19 และ 20 หมู่บ้านได้ผ่านช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยสงคราม ความแห้งแล้ง และโรคภัยไข้เจ็บ แม้ว่าในช่วงแรกของศตวรรษนี้โมจาการ์ได้ผ่านช่วงเวลาที่รุ่งเรืองเฟื่องฟูเมื่อมีการค้นพบแร่เงิน หลังจากการยุติการขุดแร่ในตอนต้นของศตวรรษที่ 20 จำนวนหมู่บ้านลดลงอย่างมาก หลายคนอพยพไปยังอาร์เจนตินาหรืออเมริกา ในสงครามกลางเมืองและช่วงหลังสงครามทำให้โมจาการ์ตกต่ำลงไปอีก 

ช่วงทศวรรษ 1960 เริ่มมีการเสนอที่ดินฟรีให้กับผู้คนที่จะฟื้นฟูบ้านที่ถูกทำลาย และการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ เปิดต้อนรับปัญญาชน ศิลปิน นักข่าว และผู้คนที่ซึ่งหลงใหลในทำเล แสงแดด และชายหาดอันเป็นเอกลักษณ์ของโมจาการ์ 

จากถนนโลเวอร์ปวยโบล ขึ้นสู่หมู่บ้านสีขาวบนยอดเขาที่มีถนนที่ปูด้วยหินบนทางลาดชันไปยัง น้ำพุ ‘Mojacar Fuente Moro’ เป็นแหล่งน้ำที่สำคัญของหมู่บ้านมาเป็นเวลาหลายศตวรรษ ในสมัยมัวร์เป็นศูนย์กลางของชีวิตทางสังคมของโมจาการ์ ‘Puerta de la Ciudad’ หรือที่รู้จักในชื่อ ‘Puerta de la Almedina’ เป็นประตูเมืองเก่าที่มีอายุย้อนไปถึงศตวรรษที่ 15 ‘Ayuntamiento de Mojacar’ คือ อาคารศาลาว่าการเมืองเก่าของโมจาการ์  

ตรงข้ามศาลากลาง มีบันไดแคบขึ้นไปถึง Plaza del Parterre ซึ่งปัจจุบันเป็นจัตุรัสที่ได้รับการดูแลอย่างสวยงามซึ่งตกแต่งด้วยพืชและดอกไม้มากมาย โบสถ์ซานตา มาเรีย (Iglesia de Santa Maria) ตัวโบสถ์มีลักษณะเด่น คล้ายป้อมปราการเหมือนทำหน้าที่เป็นเครื่องเตือนความทรงจำของเวลาที่ผ่านไป

เมื่อเข้าสู่จัตุรัสหลัก พลาซ่า นูวา (Plaza Nueva) อันเป็นจุดหมายปลายทางสุดท้ายของเส้นทาง ทำหน้าที่เป็นเหมือนระเบียงของหมู่บ้าน จากจุดชมวิวที่สวยงามของชายฝั่งโมจาคาร์ และทัศนียภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจลงไปที่หุบเขาเบื้องล่างและความกว้างไกลสุดสายตาของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน 

ทาราโซนา (Tarazona, Aragón)

เป็นเมืองที่ยอดเยี่ยมในการชมสถาปัตยกรรมมูเดจาร์ (Mudejar) ที่สวยงาม มักเรียกทาราโซนากันว่า ‘เมืองมูเดจาร์’ เมืองเล็กๆ แห่ง ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองซาราโกซา ที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์มูเดจาร์ โบสถ์ และสนามสู้วัวกระทิงเก่าแก่   

มหาวิหารซานตา มาเรีย เดอ ลา อูเอร์ตา (Catedral Santa Maria de la Huerta) เป็นหนึ่งในโบสถ์ที่ดีที่สุดและมีเอกลักษณ์ที่สุดในภูมิภาคอารากอน เนื่องจากมีการเพิ่มโครงสร้างแบบโกธิกดั้งเดิมเข้าไปด้วยหอคอยและฐานโดมแบบมูเดจาร์ รวมถึงส่วนหน้าอาคารแบบเรอเนสซองส์ การก่อสร้างเริ่มขึ้นในอาสนวิหารในศตวรรษที่ 12 และใช้เวลาเกือบ 300 ปีกว่าจะแล้วเสร็จ  

พระราชวังบิชอป (Palacio Episcopal) สร้างขึ้นบนที่ตั้งของป้อมปราการมัวร์เก่าในทาราโซนา สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 16 ในสไตล์เรเนสซอง เป็นที่ประทับของพระสังฆราช ยังเป็นที่ประทับของกษัตริย์อารากอนหลายองค์  ‘ศาลาวาการเมืองทาราโซนา’ (Tarazona City Hall) ตั้งอยู่บนจัสตุรัสกลางเมือง ด้านหน้าอาคารอันวิจิตรงดงามมีภาพของกษัตริย์คาร์ลอสที่ 1 และเฮอร์คิวลีส  

สนามสู้วัวกระทิงเก่า (Old Bullring) เป็นหนึ่งในสนามแข่งม้าที่เก่าแก่ที่สุดในสเปน ย้อนหลังไปถึงปี 1792 นอกจากนี้ยังมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเพราะเป็นรูปแปดเหลี่ยมแทนที่จะเป็นทรงกลม ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างสวยงาม ‘โบสถ์มักดาเลนา’ (The Magdalena Church) อาจไม่สง่างามเท่ามหาวิหารทาราโซนา แต่เป็นโบสถ์ที่แปลกตาและเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในเมือง ตั้งอยู่ใน Barrio del Cinto และมีหอคอยสไตล์มูเดจาร์ที่โดดเด่น สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 12 และแล้วเสร็จในศตวรรษที่ 15

ทาราโซนาเคยมีชาวยิวจำนวนมากจนกระทั่งชาวยิวถูกขับออกจากสเปนในปี 1492 โดยชาวยิวย่านชาวยิวและบ้านแขวน (El Barrio de la Judería y las Casas Colgadas) เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีที่สุดในภูมิภาคนี้ ประกอบด้วยถนนและบ้านเรือนรอบๆ พระราชวังบิชอป และโบสถ์มักดาเลนา ถนนคดเคี้ยวที่คดเคี้ยวและสูงชันแห่งนี้เป็นถนนที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีที่สุดในภูมิภาคนี้  เช่นเดียวกับเมืองเมืองเกวนก้า (Cuenca) ที่มีชื่อเสียงซึ่งมีบ้านแขวนอยู่เหนือแม่น้ำจูคาร์ (Júcar) แต่ทาราโซนามีบ้านที่แขวนอยู่เหนือแม่น้ำเฆวุลเลส (Queiles) 

ทาราโซนา ยังมีชื่อเสียงในการจัดงานเทศกาล ‘Cipotegato’ ซึ่งผู้มาเยือนและชาวเมืองจะไล่ล่าปามะเขือเทศให้ใส่กัน ซึ่งจะจัดขึ้นทุกวันที่ 27 สิงหาคม เพื่อการเฉลิมฉลองแก่ ‘ซาน อติลาโน’ ซึ่งเป็นนักบุญอุปถัมภ์ของเมือง

ลาการ์เดีย (Laguardia, La Rioja)

เป็นเมืองที่สำคัญที่สุดในแคว้นลารีโอคา (La Rioja) ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดอลาวา ทางตอนเหนือของสเปน เป็นหนึ่งในหมู่บ้านยุคกลางที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุดในสเปน ตั้งบนเนินเขาที่รายล้อมไปด้วยไร่องุ่น โดยมีเทือกเขาแคนตาเบรียน เป็นฉากหลัง รากฐานของเมืองนี้มีอายุย้อนไปถึงศตวรรษที่ 10 ในฐานะปราสาทของอาณาจักรนาวาร์ 

ก่อตั้งขึ้นในศตวรรษที่ 10 เพื่อเป็นการป้องกันราชอาณาจักรนาวาร์ โดย Sancho the Strong หรือ Sancho II of Castile and León และกำแพงที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างงดงามมีอายุย้อนไปถึงศตวรรษที่ 15 ทั้งหมู่บ้านได้รับการคุ้มครองในฐานะมรดกแห่งสเปนในปี 1964 ชื่อ “ลาการ์เดีย” มาจาก “ลา การ์เดีย เด นาวาร์รา” (La Guardia de Navarra) ซึ่งเป็น “ผู้พิทักษ์” แห่งนาวาร์  

ก่อนที่หมู่บ้านแห่งนี้ในยุคกลางจะถูกสร้างขึ้น มีการขุดอุโมงค์ลึกบนเนินเขา เพื่อถูกใช้เป็นกลยุทธ์ในการป้องกัน แต่ถูกนำมาใช้เพื่อเก็บไวน์และในที่สุดก็ทำไวน์ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา ในปี 1486 ลาการ์เดียถูกรวมเข้าในอาณาจักรของราชวงศ์คาธอลิก (คำว่าพระมหากษัตริย์คาทอลิกหมายถึงพระราชินีอิซาเบลลาที่ 1 แห่งคาสตีลและกษัตริย์เฟอร์ดินานด์ที่ 2 แห่งอารากอน) ซึ่งจะรวมอาณาจักรคาสตีลและอารากอนเข้าด้วยกันในปี ค.ศ. 1492 

กำแพงยุคกลางถูกสร้างขึ้นเช่นเดียวกับพระราชวังหลายแห่ง ในศตวรรษที่ 19 กำแพงยุคกลางส่วนใหญ่ถูกทำลายระหว่างสงคราม “คาร์ลิสตา” สงครามกลางเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศสเปนในช่วงศตวรรษที่ 19  และ ‘สงครามอิสรภาพ’ อันเกิดจากเป็นความขัดแย้งระหว่างจักรวรรดิฝรั่งเศสของนโปเลียนกับฝ่ายพันธมิตรอันประกอบด้วยสหราชอาณาจักร สเปน และโปรตุเกส  

เสน่ห์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของลาการ์เดียคือรถยนต์ไม่สามารถเข้าไปในบริเวณที่มีกำแพงล้อมรอบได้ ถนนในลาการ์เดียเต็มไปด้วยอาคารยุคกลาง ยุคเรอเนสซองส์ บาโรก และนีโอคลาสสิกที่สวยงามตระการตา ในหมู่พวกเขาคือ Casa de la Primicia อาคารเก่าแก่ในศตวรรษที่ 14

ทุกวันนี้ลาการ์เดียเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่มั่งคั่ง ที่เต็มไปด้วยโรงบ่มไวน์ โรงแรมเล็กๆ ที่มีเสน่ห์ ร้านอาหารรสเลิศ อย่าลืมสั่ง เนื้อแกะย่างกับอาร์ติโช้คและพริกหวานสเปนพิควิลโล จิบไวน์แดง Tempranillo และ Mazuelo หรือไวน์โรเซ่ Garnacha และไวน์ขาว Navarra และ Verdejo  พร้อมกับชื่นชมกับทิวทัศน์อันสวยงาม และฉากหลังอันสวยงามของเทือกเขาแคนตาเบรียน  

การาชิโก (Garachico, Tenerife Island)

ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะเตเนริเฟ หนึ่งในหมู่เกาะคานารีตะวันตก บนชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก  

การาชิโก ร่วมกับ บัวนาวิสตา และลอสซีลอส ที่รู้จักกันในนาม “เกาะต่ำ” แห่งเตเนริเฟ เป็นจุดหมายปลายทางที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของเตเนรีเฟอย่างเหลือเชื่อ  เมืองนี้ได้รับความเดือดร้อนมาอย่างเลวร้ายในอดีต เช่น น้ำท่วม พายุ ไฟไหม้ กาฬโรค และภูเขาไฟระเบิด 

การาชิโกก่อตั้งขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 15 และท่าเรืออาจเป็นท่าเรือที่สำคัญที่สุดของเกาะในช่วงศตวรรษที่ 16 และ 17 อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ. 1706 มีการปะทุของภูเขาไฟและลาวาก็ไหลจากภูเขาไฟเตรเวโฮสู่ทะเล ทำลายท่าเรือและบางส่วนของเมือง อันที่จริงอ่าวที่สวยงามหายไปภายใต้ลาวาภูเขาไฟในขณะที่แอ่งหินธรรมชาติก่อตัวขึ้นบนชายฝั่ง ซึ่งปัจจุบันรู้จักกันในชื่อ ‘เอล คาเลตัน’ (El Caletón) ซึ่งเป็นเหมือนสระน้ำธรรมชาติของหินภูเขาไฟสีดำ และทิวทัศน์อันตระการตาของสภาพแวดล้อมโดยรอบ

อย่างไรก็ตาม การาชิโกในปัจจุบันมีบ้านเรือนที่มีสีสันสวยงามแบบดั้งเดิมและสวยงามตั้งเรียงรายอยู่ตามถนนที่ปูด้วยหิน อาคารเก่าแก่ ต้นปาล์ม และฉากหลังของภูเขาเตย์เด (El Teide) ซึ่งเป็นหนึ่งในภูเขาไฟที่สูงที่สุดในโลกและเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในสเปนที่ระดับความสูง 3,718 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ตั้งอยู่ในใจกลางของเกาะคานารี เรียกว่า ‘อุทยานแห่งชาติเตย์เด’ ที่ได้การประกาศให้เป็นมรดกโลกโดยยูเนสโกในปี 2007)

Plaza of La Libertad เป็นจตุรัสหลักของเมือง มีอากคารที่สวยงามหลายหลัง เช่นโบสถ์ซานตาอานา (Santa Ana Church) เป็นหนึ่งในอาคารที่สวยงามและโดดเด่นที่สุดของการาชิโก โดยมีอายุในช่วงกลางศตวรรษที่ 16 บางส่วนถูกทำลายโดยภูเขาไฟระเบิดในปี 1607 และสร้างขึ้นใหม่ในภายหลัง

คอนแวนต์แห่งซานฟรานซิสโกแห่งอาซิส (Convent of San Francisco of Asis) ซึ่งเป็นอาคาร 2 ชั้นที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1524  โบสถ์ซานตาอานาและนูเอสตรา เซโนรา เด ลอสแองเจเลส (Iglesia de Nuestra señora de los Angeles) ซึ่งมีอายุตั้งแต่ปี 1524 อาคารทั้งสองหลังของคอนแวนต์และโบสถ์สร้างในสถาปัตยกรรมอันงดงามในสไตล์คานารีแบบดั้งเดิม

ปราสาทซานมิเกล Castle-Fortress of San Miguel) ตั้งอยู่ริมน้ำและสร้างขึ้นเพื่อป้องกันโจรสลัด เป็นอาคารที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองการาชิโก สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 16 และรอดพ้นจากการปะทุของภูเขาไฟในปี 1706 จากที่นี่ จะมองเห็นทัศนียภาพอันงดงามของเมืองและอ่าวที่มี  เกาะเล็กๆ ที่เรียกว่า ‘Roque de Garachico’ ตั้งทางเหนือของเกาะเตเนริเฟ  

แอสตอร์กา (Astorga, Castilla León)

เป็นเมืองที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของ Spain อยู่ในจังหวัดลีออง แคว้นกัสติยา เลออนของสเปน เป็นหนึ่งในเมืองที่ตั้งอยู่บนเส้นทางหลักเส้นทางแสวงบุญ ‘เส้นทางฝรั่งเศส’ หรือ เรียกว่า ‘Saint James Way การจาริกแสวงบุญนี้นำไปสู่มหาวิหารในซานติอาโก เด กอมโปสเตลา ซึ่งเป็นที่ฝังศพของอัครสาวกเซนต์เจมส์ โดยเริ่มต้นที่เทือกเขาพีรานีส ผ่านบูโกส ลีออง และแอสตอร์กา

แอสตอร์กาก่อตั้งขึ้นเมื่อ 14 ปีก่อนคริสตกาล โดยจักรพรรดิออกัสตัส ชาวโรมันตั้งชื่อว่า “Asturica Augusta” และเป็นศูนย์กลางการบริหารและการทหารที่สำคัญ กำแพงโรมันแห่งอัสตอร์กาที่มองเห็นได้ในปัจจุบัน สร้างขึ้นเมื่อปลายศตวรรษที่ 3 หรือต้นศตวรรษก่อนหน้า และมีการซ่อมแซมในช่วงปลายศตวรรษที่ 13  

แอสตอร์กาเป็นหนึ่งในเมืองของสเปนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดในช่วง ‘สงครามเพนนินซูล่า’ หรือ ‘สงครามอิสระภาพ’ กองทหารสเปนปกป้องเมืองกองทหารฝรั่งเศสของนโปเลียนด้วยความกล้าหาญ ชื่อเมืองแอสตอร์กาเป็นหนึ่งในเมืองที่โดดเด่นที่สุดที่จารึกอยู่ที่ Arc de Triomphe ในกรุงปารีส  

เมื่อเดินผ่านประตู ‘Puerta del Sol’ อันเป็นประตูหลักผ่านป้อมปราการและกำแพงโรมันโบราณนำไปสู่ย่านเมืองเก่า ซึ่งเป็นที่ตั้งของ มหาวิหารแห่งแอสตอร์กา (La Catedral de Santa María de Astorga) สร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมแบบบาโรก ระหว่างศตวรรษที่ 15 และ 18 เป็นหนึ่งในมหาวิหารที่มีเอกลักษณ์ที่สุดในสเปนเพราะหอคอยแต่ละหลังสร้างด้วยหินที่แตกต่างกัน มีสถานที่ไม่กี่แห่งที่ไม่ใช่เมืองหลักที่มีมหาวิหารขนาดนี้ 

ฝั่งตรงข้ามกับโบสถ์คือ พระราชวัง Palcio Episcopal ซึ่งออกแบบโดย อันตอนี เกาดี ในตอนท้ายของศตวรรษที่ 19 ในสไตล์นีโอโกธิค นับเป็นหนึ่งในสามอาคารที่เกาดีออกแบบนอกเมืองบาร์เซโลนา (พระราชวัง El Capricho ในคูมิลลาส, พระราชวัง Palacio de Botines ในลีออง และพระราชวัง Episcopal Palace ในแอสตอร์กา) อาคารศาลาว่าการเมืองแอสตอร์กา (Ayuntamiento de Astorga) สไตล์บารอคที่สวยงาม มีหอคอยสองหลังและหอระฆัง มีโล่และประติมากรรมเด่นอยู่ด้านหน้าอาคาร ก่อสร้างเริ่มขึ้นในปี 1683 แล้วเสร็จในปี 1704 

ในศตวรรษที่ 19 แอสตอร์กาได้พัฒนาอุตสาหกรรมช็อกโกแลต ทำให้เมืองนี้เป็นที่รู้จักกันดีในสเปนสำหรับช็อกโกแลตและขนมหวาน อย่าพลาดชิมอาหารที่รู้จักกันดีที่สุดในของท้องถิ่นคือ ‘สตูว์มารากาโต’ และ ‘ไส้กรอกรมควัน’ ที่ได้รับความนิยมอย่างมากของภูมิภาคนี้ 

อาราเซนา (Aracena, Andalucia)

ตั้งอยู่ใจกลางเทือกเขาเซียร์รา เด อาราเซนา (Sierra de Aracena) ในแคว้นอันดาลูเซีย มีเอกลักษณ์เฉพาะด้วยสถาปัตยกรรมแบบอันดาลูเซีย สูงจากระดับน้ำทะเล 700 เมตร ซึ่งมีบ้านและอาคารที่ทาด้วยปูนขาว ซึ่งสร้างความแตกต่างกับพื้นที่สีเขียวและภูเขาที่โอบล้อมเมือง

ผู้ตั้งถิ่นฐานกลุ่มแรกอาศัยอยู่ในพื้นที่อาราเซนามีอายุย้อนไปถึงยุคทองแดง ต่อกลายมาตกอยู่ในการครอบครองของอาณาจักรโรมันตั้งแต่ศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสตกาล คริสต์ศตวรรษ 7 ในสมัยโรมันตอนปลาย หรือ ช่วงวิซิกอธ ที่บุกเข้าไปในดินแดนของโรมันซ้ำแล้วซ้ำอีก และก่อตั้งอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ในกอลและสเปน แต่อาราเซนาก็มีความสำคัญมากขึ้นในฐานะเมืองของชาวมุสลิมในสมัยอัล-อันดาลุส (Al-Andalus) ระหว่างศตวรรษที่ 10 ถึง 13

กองทหารของอัลฟองโซที่ 1 แห่งโปรตุเกสได้ขับไล่ชาวมัวร์ในปี 1251 และฟื้นฟูเมืองให้กลับเป็นราชอาณาจักรโปรตุเกส ต่อมาเกิดพิพาทกับแคว้นคาสตีลและโปรตุเกส จนจะมีการลงนามในสนธิสัญญาบาดาโฮซในปี 1267 และอัลกานิซในปี 1297 อาราเซนายอมจำนนต่อแคว้นกัสติยาและรวมเข้าเซบียา พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 10 แห่งกัสติยา มอบเมืองนี้ให้กับอัศวินเทมพลาร์ก็เข้าควบคุมเมืองจนกระทั่งภาคีถูกยุบในต้นศตวรรษที่ 14 ปราสาทที่อาราเซนาสร้างขึ้นในช่วงเวลานี้บนปราสาทมัวร์โบราณ ส่วนเก่าแก่ของเมืองที่เชิงเขามีขึ้นในสมัยยุคกลางตอนปลาย ปราสาทอาราเซนารวมอยู่ใน “บันดากัลเลกา” ซึ่งเป็นกลุ่มป้อมปราการที่ปกป้องเซบียาจากการโจมตีของโปรตุเกสที่อาจเกิดขึ้น

ศูนย์กลางของอาราเซนาคือพลาซ่า อัลต้า (Plaza Alta) ซึ่งเป็นที่ตั้งของศาลาว่าการเมืองและโบสถ์เก่าแก่มากมาย ต่อมามีการเติบโตของประชากรและการขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็ว มีการก่อตั้งสำนักแม่ชีโดมินิกันและคาร์เมไลต์ ในศตวรรษที่ 17 ที่ต่อมากลายเป็น “คฤหาสน์” ภายใต้การครอบครองของเคานต์-ดยุคแห่งโอลิวาเรส และต่อมาก็ขึ้นอยู่กับเคานต์แห่งอัลตามิรา ผู้ซึ่งได้รับฉายาว่า ‘เจ้าชายแห่งอาราเซนา’ ในปี 1833 อาราเซนาถูกแยกออกจากเซบียาและกลายเป็นส่วนหนึ่งของเมืองอูเอลบา (Huelva) 

โบสถ์ปราสาทและปราสาทบนเนินเขาสูง ทำให้มองเห็นหมู่บ้านและทั่วทั้งภูมิภาคแบบพาโนรามาได้อย่างสวยงาม ซากปรักหักพังของปราสาทเก่าแก่ ป้อมปราการเหลืออยู่เล็กน้อย โบสถ์ในปราสาทยังคงอยู่ในสภาพที่ค่อนข้างดี และมีอายุในศตวรรษที่ 13-14 นักประวัติศาสตร์บางคนอ้างว่าเป็นของอัศวินเทมพลาร์ ติดกับโบสถ์มีหอคอยอันงดงามซึ่งสร้างขึ้นในสไตล์มัวร์ซึ่งอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ สิ่งก่อสร้างทั้งหมดได้รับการประกาศให้เป็นทั้งประวัติศาสตร์และศิลปะในปี 1931

เปดราซา (Pedraza, Castile and Leon)

หมู่บ้านยุคกลางที่มีกำแพงล้อมรอบ โดยไม่มีอาคารสมัยใหม่ใดๆ ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากกาลเวลา อยู่ห่างจากเมืองหลวงเซโกเวียไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ 37 กม. กล่าวกันว่าเป็นหมู่บ้านที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งใน Spain หมู่บ้านแห่งนี้ยังคงได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดีอย่างเหลือเชื่อมากว่า 700 ปี ได้รับการประกาศให้เป็นมรดกทางประวัติศาสตร์แห่งชาติในปี 1951

ถนนที่ปูด้วยหินและบ้านเรือนที่ประดับประดาอยู่ในหมู่บ้านในยุคกลาง ตั้งแต่ประตูเมือง Puerta de la Villa เพียงประตูเดียวเท่านั้นที่อนุญาตให้เข้าและออกได้ ศูนย์กลางของเมืองคือจัสตุรัสพลาซ่า มายอร์ (Plaza Mayor) ด้านหนึ่งของจัตุรัสเป็นที่ตั้งของโบสถ์ซานฮวน (Church of San Juan) ที่มีหอคอยทรงสี่เหลี่ยมที่สวยงาม ศาลาว่าการยังคงตั้งอยู่บนจัตุรัส อาคารหลายหลังมีอายุย้อนไปถึงศตวรรษที่ 16-17 อันเป็นช่วงเวลาแห่งความรุ่งโรจน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด  เมื่อบ้านชั้นสูงส่วนใหญ่ถูกสร้างขึ้น ความเจริญรุ่งเรืองนั้นเกิดจากการค้าขายขนแกะเมอริโนและผ้าที่มีคุณภาพโดดเด่น คฤหาสน์หลังหนึ่งจากหลายแห่งรวมทั้งที่อยู่บนจัตุรัสสลักตราประจำตระกูลไว้ด้านหน้า 

ปราสาทเปดราซาสร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 และสร้างขึ้นใหม่ในศตวรรษที่ 15 โดยการ์เซีย เอร์เรรา และอีกครั้งในช่วงต้นศตวรรษที่ 16 โดยดยุกแห่งฟริอาส (Duke of Frías และ Condestables of Castille)  ปราการสี่เหลี่ยม พร้อมคูน้ำเทียมที่ขุดพบในหิน ปราสาทใช้ส่วนหนึ่งของกำแพงและเก็บรักษาซากของส่วนหน้าด้วยองค์ประกอบแบบโรมาเนสก์ ราชโอรสของพระเจ้าฟร็องซัวที่ 1 แห่งฝรั่งเศส (Francis I of France) แห่งฝรั่งเศสถูกคุมขังที่นี่หลังการสู้รบที่ปาเวีย (Battle of Pavia – เป็นการสู้รบสงครามอิตาลีในปี ค.ศ. 1521–1526 ระหว่างราชอาณาจักรฝรั่งเศสและอาณาจักรฮับส์บูร์กของชาร์ลส์ที่ 5 จักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์) 

เมดินาเซลี (Medinaceli, Castile and Leon)

“เมืองแห่งท้องฟ้า” เมดินาเซลีเป็นเนึ่งในหมู่บ้านที่สวยที่สุดของแคว้นคาสตีลเลออน ตั้งอยู่ที่ด้านบนสุดของหุบเขาจาลอน แต่เดิมเป็นที่ตั้งถิ่นฐานที่มีป้อมปราการของชาวเคลติบีเรียซึ่งเป็นกลุ่มของชาวเคลต์และชาวเซลติกซึ่งอาศัยอยู่ในคาบสมุทรไอบีเรีย ต่อมาถูกยึดครองโดยชาวโรมัน ก่อนจะกลายเป็นเมืองหลวงของพื้นที่ภาคกลางที่ถูกครอบครองโดยชาวมัวร์ 

ความเจริญรุ่งเรืองของเมดินาเซลีสามารถเห็นได้จากพระราชวังอันงดงามซึ่งยังคงตั้งอยู่เหนือ‘จัสตุรัสพลาซ่า มายอร์’ (Plaza Mayor) จตุรัสหลักที่มีเสาเรียงเป็นแนว ภายในผังเมืองแบบมัวร์ ยังเป็นจตุรัสที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในคาสตีลและเลออน ย่านประวัติศาสตร์ในหมู่บ้านเมดินาเซลีมีร่องรอยของชาวโรมัน มัวร์ อาคารที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังหลงเหลืออยู่คืออาคาร Aula Arqueológica สมัยศตวรรษที่ 16 ซึ่งเป็นอาคารหลังเดียวบนจัตุรัสที่มีเสาสองชั้น โบสถ์วิทยาลัยตั้งแต่ปลายยุคโกธิกตอนปลายที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 16 

พระราชวังอันงดงามของดยุกแห่งเมดินาเซลีจากศตวรรษที่ 17 ที่เรียงรายอยู่รอบลานบ้านสไตล์เรเนสซองส์สองชั้นอันน่าทึ่ง ภายในมีโมเสคโรมันสมัยศตวรรษที่ 2 ด้านหน้าของอาคารเป็นผลงานของ ฮวน โกเมซ เดอ มอร่า (Juan Gómez de Mora) ผู้ออกแบบพลาซ่า มายอร์ของกรุงมาดริด

ประตูชัยโรมัน (Arco Romano) แห่งศตวรรษที่ 1 ซึ่งเป็นซุ้มเดียวที่มีสามซุ้มประตูที่ได้รับการอนุรักษ์ใน Spain และเป็นสัญลักษณ์ของเมือง ประตู Puerta Árabe ทางฝั่งตะวันตกของหมู่บ้าน ทำหน้าที่เป็นทางเข้าหนึ่งในสี่ของชุมชนในสมัยโรมันและเป็นประตูสำคัญในยุคที่ชาวมุสลิมยึดครอง และโมเสกโรมันเพียงแห่งเดียวในเมดินาเซลีพบอยู่ใต้กระจกของอาคารเก่าที่จัตุรัสพลาซา เด ซาน เปโดร ซึ่งมีอายุในศตวรรษที่ 2  

โบสถ์ซานตามาเรีย (Colegiata de Santa María) โบสถ์สไตล์โกธิกที่สวยงามแห่งนี้สร้างขึ้นในปี 1561 บนที่ตั้งของโบสถ์หรือมัสยิด หอคอยสไตล์กอธิคช่วงปลายศตวรรษที่ 17  และห้องใต้ดินตกแต่งแบบโรมาเนสก์  และทางเหนือของหมู่มีซากปราสาทมัวร์เก่าแก่ สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 9 และสร้างขึ้นใหม่ในศตวรรษที่ 15 ภายในปราสาทซึ่งขณะนี้ได้รับการบูรณะอย่างสมบูรณ์ ตามตำนานเล่าว่า มีป้อมปราการอาหรับที่ฝังร่างของ “caudillo” Almanzor ผู้นำชาวมัวร์แห่งอันดาลูเซียนที่ยิ่งใหญ่แห่งศตวรรษที่ 10 หลังจากพ่ายแพ้และถูกสังหารในยุทธการกาลาตาญาซอร์ (Battle of Calatañazor) ในปี 1002 เป็นการต่อสู้ระหว่างกองทัพที่รุกรานซาราเซ็นภายใต้อัลมันซอร์และกองกำลังของพันธมิตรคริสเตียนที่นำโดยอัลฟองโซที่ 5 แห่งเลออน, ซานโชที่ 3 แห่งนาวาร์ และซานโช การ์เซียแห่ง คาสตีล

ซิกูเอนซา (Sigüenza, Castile-La Mancha)

เมืองที่สวยงามแห่งนี้อยู่ทางตอนเหนือของจังหวัดกวาดาลาฮารา (Guadalajara) เป็นที่ตั้งมรดกทางสถาปัตยกรรมอันโดดเด่น ได้รับการประกาศให้เป็นโบราณสถาน-ศิลปะในปี 1965

ซิกูเอนซาเต็มไปด้วยอาคารที่พัก และโบสถ์ที่สวยงามมากมาย ถนนสายหลักของเมืองผ่านโบสถ์หลายแห่ง บ้านเก่าแก่ และร้านงานฝีมือ จนกระทั่งถึง ‘พลาซ่า มายอร์’ ซึ่งเป็นที่ตั้งของศาลาว่าการเมือง และยังเรียงรายไปด้วยอาคารจากยุคกลาง สถาปัตยกรรมยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา พระราชวัง และมหาวิหารอันงดงาม

ทางทิศใต้ของเมืองเป็นที่ตั้งของปราสาท Castle of the Bishops of Sigüenza ที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 5 ในสมัยโรมัน เมืองนี้ถูกเรียกว่า ‘เซกอนเทีย’ จากนั้นหลังจากยุควิซิกอธ ปราสาทกลายเป็นป้อมปราการมัวร์ในปี 712

แต่ในปี ค.ศ. 1124 แบร์นาร์โด เด อาเกน (Bernardo de Agen) อัศวินนักบวชผู้เคร่งศาสนาได้เข้าครอบครอง ปราสาทยังเคยใช้เป็นโรงพยาบาล และค่ายทหาร ปราสาทได้รับความเสียหายในปี 1811 ระหว่างการยึดครองของฝรั่งเศสโดยกองทัพของนโปเลียน ต่อมาในปี 1936 ปราสาทบางส่วนถูกทำลายจากกองทหารของนายพลฟรังโก้ ช่วงสงครามกลางเมืองสเปน และหลังจากการบูรณะซึ่งเริ่มขึ้นในปี 1964 ได้นำมาทำเป็นโรงแรม (Parador de Sigüenza)    

มหาวิหารซานตามาเรีย (Catedral de Santa María de Sigüenza) ตั้งตระหง่านขึ้นจากใจกลางย่านเมืองเก่าซึ่งสร้างมาหลายศตวรรษแล้ว เริ่มโครงสร้างแบบโรมาเนสก์ในปี ค.ศ. 1130 มีองค์ประกอบศิลปะตั้งแต่สไตล์โกธิก เพลเทอเรส เรเนซองส์ และแม้กระทั่งสไตล์มูเดจาร์ ทำให้เป็นหนึ่งในอาสนวิหารที่สวยงามและน่าประทับใจที่สุดแห่งหนึ่งในสเปน ภายในสีเข้มให้ความรู้สึกแบบโบราณและกระจกสีบางๆ รวมถึงแท่นบูชาสมัยศตวรรษที่ 15 อาคารได้รับความเสียหายอย่างหนักในช่วงสงครามกลางเมือง (สังเกตรอยหลุมจากกระสุนและเปลือกหอยในหอระฆัง) แต่ได้รับการสร้างขึ้นใหม่ในเวลาต่อมา

ภายนอกคล้ายกับป้อมปราการยุคกลาง โดยมีหอคอยแบบโรมาเนสก์ เฉลียงและหน้าต่างกุหลาบอันงดงาม ภายในเป็นที่ตั้งของหลุมฝังศพของ ‘มาร์ติน วาซเกซ เดอ อาร์เช’ (Martín Vázquez de Arce) หรือที่รู้จักในชื่อ “เอล ดอนเซล เด ซิกูเอนซา” ‘El Doncel’ (อัศวินแห่งซิกูเอนซา) ซึ่งเสียชีวิตจากการต่อสู้กับชาวมัวร์ในช่วงสุดท้ายของสงครามในการทวงดินแดนสเปนคืนจากพวกมัวร์ (เรกองกิสตา) ในการสู้รบที่กรานาดา


One World Tour & Travel จัดกรุ๊ปทัวร์ท่องเที่ยวทั่วโลก กรุ๊ปเหมาดูงาน, สัมมนา, ท่องเที่ยวประจำปี คุณภาพดีเยี่ยม

☎️ โทร : 02-448-6338
📱 สายด่วน : 085-557-3131
📥 inbox : m.me/1worldtour
📥 Line : @oneworldtour มี@ ข้างหน้าด้วยนะคะ