Beautiful Small Towns #1 – ‘วาเรนนา’ (Varenna, Italy)
Beautiful Small Towns หมู่บ้านชาวประมงที่มีอายุย้อนกลับไปพันกว่าปี ซึ่งเป็นอัญมณีที่มีเอกลักษณ์และโดดเด่นของทะเลสาบโคโม
หมู่บ้านวาเรนนาที่มีเสน่ห์บนชายฝั่งตะวันออกของทะเลสาบโคโมที่งดงามราวภาพวาด ตั้งอยู่ในแคว้นลอมบาร์ดีทางตอนเหนือของอิตาลี ชุมชนเล็กๆ นี้ก่อตั้งโดยชาวประมงท้องถิ่นในปี ค.ศ. 769
ตรอกซอกซอยคดเคี้ยวที่ลาดเอียงจากทะเลสาบจะนำเราผ่านสถาปัตยกรรมอิตาลีแบบดั้งเดิมไปจนถึงวิลล่าสีพาสเทล คาเฟ่ที่สวยงามน่ารักเข้าสู่บริเวณจัตุรัสหลักของเมืองที่โดดเด่นด้วยโบสถ์ Chiesa di San Giorgio ในศตวรรษที่ 14
ภูเขาด้านบนของหมู่บ้านเป็นที่ตั้งของปราสาทยุคกลางที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 11 ที่ชื่อว่า ‘ปราสาทเวซิโอ’ (Castle of Vezio) ซึ่งเป็นด่านทหารโบราณที่สร้างขึ้นเพื่อปกป้องและควบคุมทะเลสาบและหมู่บ้านตามประสงค์ของราชินีแห่งลอมบาร์ด ‘เทโอโดลินดา’ (Teodolinda)
ความงามที่ละเอียดอ่อนสร้างความประหลาดใจและอารมณ์ให้กับผู้ที่เดินทางไปตามย่านต่างๆ หรือชอบที่จะเดินไปตามเส้นทางที่ล้อมรอบเยี่ยมชมวิลล่าที่มีชื่อเสียงอย่าง ‘วิลล่า โมนาสเทโร’ (Villa Monastero) หรือขึ้นสู่ปราสาทบนยอดเขาเพื่อชมทัศนียภาพแบบ 360 องศาของทะเลสาบโคโม
ความสงบที่ผ่อนคลายนี้ทำให้หมู่บ้านวาเรนนาเหมาะสำหรับผู้มาเยือนที่ใส่ใจและอ่อนไหวรักความสงบที่ชื่นชอบประวัติศาสตร์วัฒนธรรม ศิลปะ ประเพณี และยังได้ชิมอาหารรสเลิศและไวน์ชั้นดีอีกด้วย
Beautiful Small Towns #2 – ‘อัลเบอโรเบลโล’ (Alberobello, Italy)
หมู่บ้านเล็กๆ ในเมืองบารี (Bari) แคว้นปูลยา (Puglia) ทางตอนใต้ของอิตาลี เมืองเล็ก ๆ ที่แปลกตาและงดงามแห่งนี้นี้เต็มไปด้วยบ้านน่ารักที่ดูเหมือนต้นไม้สีขาวและมีมงกุฎสีเข้ม เรียกว่า ‘ตรูลี’ (Trulli) หรือ “ตรูโล” (Trullo)
‘Trullo’ เป็นกระท่อมที่ถูกสร้างขึ้นด้วยการก่ออิฐแห้งซึ่งไม่มีปูนหรือวัสดุอื่นๆ ยึดหินเข้าด้วยกันซึ่งน่าจะอยู่ในปูลยาตั้งแต่ราวศตวรรษที่ 4 กระท่อมที่ถูกสร้างสไตล์อาปูเลียน (Apulian) นี้จะมีหลังคาทรงกรวยลักษณะเป็นโครงสร้างแบบดั้งเดิมและเรียบง่ายมีให้เห็นอยู่โดยรอบ ซึ่งเป็นรูปแบบการก่อสร้างเฉพาะสำหรับหุบเขาอิเตรีย (Itria Valley)
คำว่า ‘Trullo’ มาจากคำภาษากรีกโบราณที่แปลว่า “โดม” ประวัติของกระท่อมเหล่านี้ย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 15 เมื่อพระราชกฤษฎีกาของราชอาณาจักรเนเปิลส์เรียกเก็บภาษีการตั้งถิ่นฐานใหม่ในเมืองอัลเบอโรเบลโลทั้งหมด Earls of Conversano ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินในอัลเบอโรเบลโล จึงสั่งให้ชาวนาสร้างบ้านด้วยหินที่ทำให้ดูเหมือนสิ่งก่อสร้างชั่วคราวและง่ายต่อการรื้อถอนซึ่งไม่สามารถเก็บภาษีได้
ตามตรอกซอกซอยที่ปูด้วยหินจะพบกับร้านค้าบรรยากาศสบายๆ ร้านอาหารทั่วไปที่สามารถลิ้มลองอาหารอาปูเลียนที่ดีที่สุด เช่น เนื้อหมูเย็นสไตล์อิตาลีของมาร์ตินาฟรานกา (Capocollo di Martina Franca) ออเร็คคิเอเต้พาสต้า (Orecchiette) กับรสไม่มีใครเทียบได้ ชีสสดเบอร์ราตาและเนื้อม้า และสิ่งที่ไม่ควรพลาดเลยคือการลิ้มรสไวน์ Primitivo ไวน์ชั้นดีจากโรงกลั่นไวน์ Tormaresca
อัลเบอโรเบลโลแห่งเดียวมีบ้านที่อยู่อาศัยเหล่านี้มากกว่า 1,000 แห่งซึ่งนำไปสู่การได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกตั้งแต่ปี 1996
Beautiful Small Towns #3 – ‘กีออจจา’ (Chioggia, Italy)
เมืองที่มีเสน่ห์รองจากเวนิส อันโคนา และบารี อยู่ในแคว้นเวเนโต้ของอิตาลี เป็นท่าเรือประมงขนาดกลางที่อยู่ภายในทะเลสาบเวเนเชียน แต่เชื่อมต่อกับแผ่นดินใหญ่ผ่านสะพานถนนสั้นๆ สองสามแห่ง
ชาวอิทรุสกันเคยตั้งรกรากที่นี่และในสมัยโรมันเรียกเมืองนี้ว่า ‘โคลเดีย’ (Clodia) ช่วงเวลาที่โด่งดังที่สุดของเมืองเกิดขึ้นเมื่อเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐเวนิส และในที่สุดเวนิสก็เอาชนะเจนัวด้วยการรบทางเรือในช่วงสงคราม ‘สมรภูมิกีออจจา’ (Battle of Chioggia) เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ค.ศ. 1380 หลังจากการต่อสู้อันยาวนาน
กีออจจา อาจเป็นเสมือนเหมืองที่ย่อส่วนจากเมืองเวนิส มีคลองสองสามแห่ง โดยมี Canale Vena เป็นคลองหลักและมีถนนแคบๆ ที่เรียกว่า ‘คาลลี’ (calli) จากบริเวณ Piazzetta Vigo ที่มีสะพานโค้ง ‘Ponte di Vigo’ ที่มีลักษณะเฉพาะและตรงกลางจัตุรัสมีเสาสูงที่มี Lion of Saint Mark (ปลายศตวรรษที่ 18)
Palazzo Granaio อาคารที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในเมือง Palazzo Granaio อาคารในสไตล์โกธิคสร้างขึ้นในปี 1322 เดิมตั้งอยู่บนเสา 64 ต้น ทำหน้าที่เป็นโกดังเก็บเมล็ดพืชของเมือง
พระราชวัง Palazzo Mascheroni-Lisatti เป็นอาคารที่มีลักษณะเฉพาะที่สุดแห่งหนึ่งของเมือง สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 15 และได้รับการปรับปรุงใหม่ทั้งหมดในปี 1560 ต่อมาพระราชวังได้ส่งต่อไปยังตระกูล Mascheroni ซึ่งได้ทำการบูรณะบ้างเล็กน้อย แต่อย่างไรก็ตามพระราชวังแห่งนี้ก็อยู่ในสภาพที่ทรุดโทรม
Corso del Popolo ซึ่งเป็นถนนสายหลักที่กว้างผ่านใจกลางศูนย์กลางประวัติศาสตร์เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการเดินเล่นช้อปปิ้งหรือเพลิดเพลินกับนั่งดื่มกาแฟกลางแจ้ง
โบสถ์ในยุคกลางหลายแห่งซึ่งได้รับการปรับปรุงในช่วงที่มีความเจริญรุ่งเรืองมากที่สุดในศตวรรษที่ 16 และ 17 โบสถ์เซนต์มาเรีย (The church of Santa Maria) ซึ่งก่อตั้งขึ้นในศตวรรษที่ 11 กลายเป็นมหาวิหารในปี 1110 จากนั้นก็สร้างขึ้นใหม่หลังจากไฟไหม้ในปี 1623 เป็นวิหารกีออจจา (Chioggia Cathedral) ถัดจากวิหารคือหอระฆังสมัยศตวรรษที่ 14 …
Beautiful Small Towns #4 – ‘คาสเทลเมซซาโน่’ (Castelmezzano, Italy)
หนึ่งใน ‘หมู่บ้านที่สวยที่สุดในอิตาลี’ (Borghi Pi Bor Belli d’Italia) ในเมืองโปเตนซา ในแคว้นบาซิลิกาต้า ทางตอนใต้ของประเทศอิตาลี
ต้นกำเนิดของเมืองบนภูเขานี้มีอายุราว ๆ ระหว่างศตวรรษที่ 6 ถึง 5 ก่อนคริสต์ศักราช เมื่อชาวกรีกได้ก่อตั้งเมืองชื่อ “Maudoro” ที่มีความหมายว่า ‘โลกแห่งทองคำ’
อย่างไรก็ตามโครงสร้างปัจจุบันได้ก่อตัวขึ้นในยุคกลางจากการสร้างป้อมปราการของชาวนอร์มันซึ่งเรียกว่า ‘Castrum Mediani’ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ ‘Castelmezzano’
บริเวณที่มีโขดหินที่มีลักษณะคล้ายภูเขาโดโลไมท์ที่อยู่ตอนบนของอิตาลีแห่งนี้เป็นดั่งประติมากรรมธรรมชาติขนาดมหึมาที่คอยปกป้องเมืองประวัติศาสตร์อันเก่าแก่นี้อย่างเงียบๆ มีหมู่บ้านสองแห่งที่อยู่ในหุบเขาแห่งนี้ คือ ‘คาสเทลเมซซาโน่’ (Castelmezzano) อยู่บนความสูง 985 เมตร และ ‘ปิเอตราเปอร์โตซา’ (Pietrapertosa) ที่อยู่บนความสูง 1,088 เมตร ที่ห่างจากกันไม่เกินหนึ่งกิโลเมตรและคั่นด้วยหุบเหวลึกของภูเขาโดโลมิตีลูแคน (Dolomiti lucane)
ที่นี่มีกิจกรรมที่จะกระตุ้นอะดรีนาลีนของเหล่านักท่องโลกมากกว่าที่อื่นๆ คือสิ่งที่เรียกว่า “เที่ยวบินนางฟ้า” (Angel Flight) ที่เราต้องมัดตัวเองกับสายเคเบิลเหล็กและบินเหินข้ามหุบเขาลึกที่กั้นคาสเทลเมซซาโน่ไปยัง ปิเอตราเปอร์โตซา ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เหมือนใคร
Beautiful Small Towns #5 – “เชฟชาอูน” (Chefchaouen, Morocco)
“ไข่มุกสีฟ้าแห่งโมร็อกโก” — เมืองที่มีสีฟ้าที่สุดในโลก — เป็นเมืองที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในโมร็อกโก
เชฟชาอูน ก่อตั้งขึ้นในปี 1471 ในเทือกเขาริฟทางตอนเหนือของโมร็อกโก โดย ‘อิบัน ราชิด อัล อาลามิ’ หรือที่รู้จักกันในนาม Sherif Moulay Ali Ben Rachid เพื่อเป็นป้อมปราการขนาดเล็กเพื่อต่อสู้กับการรุกรานของโปรตุเกส
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 15 (ปี 1492) หลังจากการยึดพื้นที่คืนของชาวคริสต์จากชาวมัวร์ที่นับถืออิสลาม หรือเรียกว่า ‘เรกองกิสตา’ (Reconquista) มีผู้ลี้ภัยชาวมุสลิมและชาวยิวจากสเปนหลั่งไหลเข้ามา รวมถึงชนเผ่าโกโมราห์ (Ghomara) ได้เข้ามาตั้งรกรากที่นี่ ต่อมาในปี 1920 สเปนได้ยึดเมืองเชฟชาอูน และกลายเป็นส่วนหนึ่งของสเปน จากนั้นในที่สุดโมร็อกโกก็นำเชฟชาอูนก็กลับเข้าร่วมอีกครั้งหลังการประกาศเอกราชในปี 1956
ตามความเชื่อของชาวยิว สีน้ำเงินเป็นตัวแทนของสวรรค์และทำให้พวกเขานึกถึงพระเจ้า ประเพณีนี้ยังคงมีความเข้มแข็งในปัจจุบัน ชุมชนชาวยิวจึงทาสีฟ้าและใช้ผ้าสีฟ้าปูรองในการละหมาดตั้งแต่ช่วงปี 1930 เป็นต้นมา
อย่างไรก็ตามผู้อยู่อาศัยที่มีอายุมากกว่ากล่าวว่าอาคารส่วนใหญ่เคยเป็นสีขาวมาก่อน มีเพียงส่วนของชาวยิวเท่านั้นที่ใช้เป็นสีฟ้า
ชาวบ้านส่วนหนึ่งเชื่อว่าเฉดสีฟ้าขับไล่ยุง เหตุผลก็คือแมลงไม่ชอบอยู่ในน้ำ ผนังเชดสีฟ้าดูเหมือนน้ำกำลังไหล พวกเขาเชื่อว่าวิธีนี้ช่วยไล่ยุงและแมลงได้อย่างแน่นอนเพราะว่าบ้านของชาวยิวที่ทาสีฟ้ามียุงน้อยลง ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจที่จะทาสีบ้านของพวกเขาให้เป็นสีฟ้าเช่นกัน
ชาวบ้านอีกกลุ่มหนึ่งระบุว่าความร้อนเป็นสาเหตุของสี การใช้สีฟ้าหรือสีน้ำเงินทำให้บ้านเย็นสบายในเดือนที่อากาศร้อน แม้ว่านี่อาจไม่ใช่เหตุผลดั้งเดิมแต่ก็เป็นเหตุผลที่ถูกต้องอย่างสมบูรณ์ในยุคปัจจุบันนี้
ประชากรชาวยิวในเมืองส่วนใหญ่ย้ายไปยังอิสราเอลหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่พวกเขาทิ้งมรดกของอาคารสีฟ้าไว้เบื้องหลัง ประเพณีการทาสีฟ้านี้ไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงเนื่องจากรัฐบาลของเมืองได้จัดเตรียมพู่กันและสีให้ชาวเมืองเชฟชาอูนพิเศษเพื่อใช้ทาสีเมืองให้เป็นสีฟ้าอยู่ตลอดเวลา เพื่อทำให้เรารู้สึกเหมือนว่ากำลังเดินอยู่ในอาณาจักรบนท้องฟ้าในตำนาน…
Beautiful Small Towns #6 – ‘อิทซาน คาล่า’
ป้อมปราการในเมืองคีว่า (Itchan Kala, Khiva) ตั้งอยู่ทางตะวันตกของอุซเบกิสถาน
กำแพงโบราณที่ล้อมรอบเมืองที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นจุดแวะสำคัญบนเส้นทางสายไหม และเป็นสถานที่สุดท้ายสำหรับกองคาราวานที่จะออกสู่ท้องทะเลทราย
ตามข้อมูลทางโบราณคดี เมืองนี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อประมาณ 1500 ปีที่แล้ว อดีตเคยเป็นเมืองหลวงของ Khwarezmia และ Khanate of Khiva เมืองคีว่า แบ่งออกเป็นสองส่วน เมืองชั้นนอกเรียกว่า ‘ดิทซาน คาล่า’ (Dichan Kala) เดิมมีกำแพงล้อมรอบที่มี 11 ประตู
เมืองชั้นใน ‘อิทซาน คาล่า’ (Itchan Kala) ล้อมรอบด้วยกำแพงอิฐซึ่งเชื่อกันว่ามีการวางรากฐานในศตวรรษที่ 10 กำแพงล้อมรอบในปัจจุบันมีอายุย้อนกลับไปในช่วงปลายศตวรรษที่ 17 และมีความสูง 10 เมตร ส่วนที่เก่าแก่ที่สุดของกำแพงกั้นซึ่งสร้างขึ้นโดยใช้อิฐโคลนมีอายุย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 5
กำแพงที่สวยงามไม่ได้เป็นสมบัติชิ้นเดียวของเมือง เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันถึงความสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์ อิทซานคาล่าเป็นภาพที่น่าประทับใจที่ได้เห็นประวัติศาสตร์ที่ย้อนไปนับพันปี อาคารที่ยังหลงเหลืออยู่ส่วนใหญ่มาจากต้นศตวรรษที่ 19 มีอาคาร 250 หลังตั้งอยู่ภายในกำแพง
มัสยิด Djuma ซึ่งเป็นอาคารที่เก่าแก่ที่สุดในอิทซานคาล่า ป้อมปราการ Kunya-Ark ที่ซับซ้อนของพระราชวัง Tash Hauli หอคอยสุเหร่า Caltha Minor ที่ปูด้วยกระเบื้องเคลือบอย่างสมบูรณ์ มัสยิด Juma ที่มีชื่อเสียงซึ่งมีเสาแกะสลัก 213 เสาซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของ สุเหร่า Khiva Islam-Khoja เหล่านี้ล้วนเป็นตัวอย่างที่สวยงามของสถาปัตยกรรมอิสลามในเอเชียกลางโบราณทั้งหมด
ในฐานะที่เป็นเมืองหน้าด่านโบราณ คีว่าประสบความสำเร็จในระดับที่น่านับถือโดยมีเหล่าพ่อค้าทาสแวะเวียนมาและไปตลอดทั้งปี หากในตอนต้นของศตวรรษที่ 20 ชื่อเสียงของคีว่าเริ่มจางหายไป ด้วยการถือกำเนิดของระบอบการปกครองของสหภาพโซเวียตทำให้เมืองนี้ถูกลืมและอิทซานคาล่าก็เช่นกัน
ทุกวันนี้ผู้คนในคีว่า มองอิทซาน คาล่าเป็นเหมือนสัญญาณเตือนจากอดีตอันยิ่งใหญ่ที่ที่ตกทอดมาถึงพวกเขา และอิทซาน คาล่า เป็นสถานที่แรกในอุซเบกิสถานที่ได้รับการจารึกไว้ในบัญชีมรดกโลกในปี 1991
Beautiful Small Towns #7 – ‘มาร์ซักลอคค์’ (Marsaxlokk, Malta)
หมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ ที่งดงาม ตั้งอยู่ริมอ่าวมาร์ซักลอคค์ทางทางตะวันออกเฉียงใต้ของมอลตา
คำว่า ‘Marsa’ หมายถึง ‘ท่าเรือ’ ในภาษามอลตา ส่วน xlokk คือ ‘ลมตะวันออกเฉียงใต้’ พื้นที่นี้เป็นจุดหักเหของอาณาจักรโรมัน เมื่อโจรสลัดซาราเซ็น กองทัพออตโตมัน และกองทัพฝรั่งเศสภายใต้นโปเลียนคอยทั้งหมดนี้ผลัดกันบุกเกาะเล็กๆ ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนแห่งนี้
เป็นท่าเรือประมงที่ใหญ่ที่สุดของมอลตามาตั้งแต่สมัยโบราณและปัจจุบันปลาส่วนใหญ่ที่ขายบนเกาะถูกจับโดยชาวประมงที่มาจากหมู่บ้านนี้ เรือประมงแบบดั้งเดิมขนาดใหญ่ที่เพ้นท์สีเรือเป็นรูป ‘ดวงตา’ บริเวณหัวเรือ เรียกว่า ‘ลูซซัส’ (Luzzus) ตั้งเรียงรายอยู่ที่ท่าเรือทาสีด้วยสีแดงเหลืองเขียวและน้ำเงินที่สดใสลอยอยู่บนผืนน้ำที่เงียบสงบของอ่าวซึ่งกลายเป็นมุมของการถ่ายภาพจำนวนนับไม่ถ้วน
มาร์ซักลอคค์มีประวัติศาสตร์เก่าแก่ย้อนหลังไปถึงศตวรรษที่ 9 ก่อนคริสต์ศักราช ชาวฟินีเซียนกลุ่มแรกที่เดินทางมาถึงมอลตาได้มาค้าขายและตั้งถิ่นฐานที่นี่ กองเรือตุรกีเคยมาจอดทอดสมอระหว่างการปิดล้อมครั้งใหญ่ในมอลตา (Great Siege of Malta) ที่เป็นส่วนหนึ่งของสงครามออตโตมันในยุโรป และสงครามออตโตมัน-ฮับสบวร์กในปี 1565 และกองทัพของนโปเลียนก็มาถึงที่นี่ระหว่างการรุกรานของฝรั่งเศสในปี 1798
ในช่วงทศวรรษที่ 1930 น้ำทะเลอันเงียบสงบของอ่าวถูกใช้เป็นที่จัดแสดงเรือเหาะ Short C-Class สี่เครื่องยนต์ขนาดใหญ่ของบริษัท Britain’s Imperial Airways ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกการเดินทางทางอากาศทางไกล
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองอ่าวมาร์ซักลอคค์ถูกใช้เป็นฐานทัพของเครื่องบินรบ Fleet Air Arm และในปี 1989 ‘ช่วงสงครามเย็น’ ใช้เป็นสถานที่จัดการประชุมสุดยอดระหว่างผู้นำโซเวียต ‘มิคาอิล กอร์บาชอฟ’ และประธานาธิบดี ‘จอร์จ บุช’ ของสหรัฐอเมริกา
ป้อมปราการของ Fort San Lucjan หรือ Lucian สร้างขึ้นในปี 1610 โดยคณะอัศวินบริบาล (Knights Hospitaller หรือ Order of Saint John) ของราชอาณาจักรซิซิลี (1530-1798) นี่คือหอสังเกตการณ์ที่ใหญ่เป็นอันดับสองในมอลตา ปัจจุบันหอคอยนี้เป็นที่ตั้งของห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ทางทะเลของมหาวิทยาลัยมอลตา
Beautiful Small Towns #8 – ‘โคตอร์’ (Kotor, Montenegro)
หนึ่งในเมืองยุคกลางที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีที่สุดของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ตั้งอยู่บนชายฝั่งดัลเมเชีย ติดกับคาบสมุทรบอลข่าน ประเทศมอนเตเนโกร
โคตอร์โดดเด่นด้วยย่านเมืองเก่าที่สร้างขึ้นโดยชาวเวนิส กำแพงสมัยศตวรรษที่ 9 ผสมผสานเข้ากับแนวภูเขา ถนนที่ปูด้วยหินคดเคี้ยวโบสถ์หินและบ้านหลังคาสีส้มที่ล้อมรอบด้วยกำแพงป้อมปราการและมีฉากหลังเป็นภูเขาสูงตระหง่าน มีกลิ่นอายคล้ายๆ กับเมืองดูบรอฟนิกในโครเอเชีย หรือที่เรียกว่า ‘Kings Landing’ จาก ‘Game of Thrones’ แต่โคตอร์มักจะเงียบกว่าดูบรอฟนิกมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูใบไม้ร่วง
โคตอร์เคยถูกปกครองปกครองโดยชาวอิลลิเรียน จักรวรรดิโรมัน จักรวรรดิไบเซนไทม์ จักรวรรดออสเตรีย-ฮังกาเรียน และชาวเวนิส ผู้พิชิตเหล่านี้ได้ทิ้งมรกดไว้มากมายไว้เบื้องหลัง เช่น Sea Gate ซึ่งเป็นทางเข้าหลักของเมืองซึ่งสร้างขึ้นในปี 1555 ภายใต้การปกครองของเวนิส, พระราชวังยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาหอคอยสไตล์บาโรกและมรดกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ ‘มหาวิหารเซนต์ไทรฟอน’ (Cathedral of Saint Tryphon) ที่สร้างขึ้นครั้งแรกในปี 1166 เพื่ออุทิศให้กับผู้พิทักษ์เมือง หอระฆังสไตล์บาโรกถูกเพิ่มเข้ามาในปี 1667 และมีเสาแบบโครินเธียนแบบคลาสสิกช่วยเพิ่มความโดดเด่นของสถาปัตยกรรมโรมาเนสก์แบบดั้งเดิม รวมถึงโรงละครของนโปเลียนในศตวรรษที่ 19 ฯลฯ
อนุสรณ์สถานทางวัฒนธรรมและศิลปะจำนวนมากเหล่านี้ทำให้ โคตอร์ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของยูเนสโก้เมื่อปี 1979
การเดินสำรวจเมืองเก่าด้วยการเดินเท้าและดื่มด่ำกับบรรยากาศ แวะจิบเครื่องดื่มที่บาร์แห่งใดแห่งหนึ่งหรือเลือกรับประทานอาหารมอนเตเนกรินแบบดั้งเดิม ‘Japraci’ สตูว์เนื้อเข้มข้นพร้อมพริกเครื่องเทศและข้าว
หรือจะขึ้นสู่ป้อมเซนต์จอห์นบนยอดเขาที่มีอายุย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 6 มองเห็นทิวทัศน์ที่ดีที่สุดของเมืองท่าเรือ กับบรรยากาศที่เป็นเอกลักษณ์ของเมือง
Beautiful Small Towns #9 – ‘อิรูยา’ (Iruya, Argentina)
“อัญมณีที่ซ่อนอยู่ในหุบเขา ที่สุดของปลายพิภพ” หมู่บ้านเล็กๆ อันงดงาม ตั้งอยู่ในจังหวัดซัลตาไม่ไกลจากชายแดนโบลิเวีย ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอาร์เจนตินา
เมืองที่งดงามราวภาพวาดซึ่งขึ้นชื่อด้านความงามทางภูมิศาสตร์ ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำอิรูยาที่ระดับความสูง 2,780 ม. (9,120 ฟุต) ภายในเทือกเขาอัลติพลาโน (Altiplano) มีประชากรเพียง 1,070 คน
เส้นทางออฟโรดเริ่มต้นจากเมือง ‘ฮูมาฮัวคา’ (Humahuaca) ไปยังอิรูย่าเป็นจุดเริ่มต้นของการค้นพบ หมู่บ้านที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวในหุบเขาที่สูงจากระดับน้ำทะเล 2,780 เมตร คนในท้องถิ่นนั้นชวนให้นึกถึงชาวโบลิเวียมากกว่าชาวอาร์เจนตินาที่มีผมเปียยาวสีดำมัดรวบไว้ที่ส่วนปลายกระโปรงสั้นเป็นชั้นๆ และหมวกปีกกว้างที่บางครั้งก็ประดับด้วยดอกไม้สด
‘Iruya’ มาจากภาษา ภาษาเกชัว (Quechua) เป็นภาษาท้องถิ่นที่ใช้ในทวีปอเมริกาใต้ แปลว่า “อุดมสมบูรณ์ไปด้วยฟาง” ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการในปี 1753 แต่ชาวพื้นเมืองกลุ่มแรกมาตั้งรกรากที่นี่ราว 100 ปีก่อนหน้านี้ซึ่งเป็นลูกหลานของชาวอินคา เรียกว่า Qulla (คนพื้นเมืองทางตะวันตกของประเทศโบลิเวีย ชิลีและอาร์เจนตินาที่อาศัยอยู่ในซัลตา-Salta เมืองคูคุย-Jujuy) แต่อิรูยาก็ยังไม่ได้รับการก่อตั้งขึ้นจนถึงปี 1753
โบสถ์ของเมือง Iglesia Nuestra Senora del Rosario y San Roque สร้างขึ้นในปี 1690 และในปี 1995 เมืองอิรูยา ได้รับการประกาศให้เป็นโบราณสถานแห่งชาติ
เมืองอิรูยาอยู่ห่างจากเมืองฮูมาฮัวคาไปทางเหนือ 73 กม. และห่างจากแนวหุบเขา ‘คูบราดา เดอ ฮูมาฮัวคา’ (Quebrada de Humahuaca) ซึ่งเป็นมรดกโลกเพียง 90 กม.
Beautiful Small Towns #10 – ‘ซิดิ บู ซาอิด’ (Sidi Bou Said, Tunisia)
“ไข่มุกสีน้ำเงินและสีขาวแห่งตูนิเซีย” หรือ ซานโตรินีแห่งตูนีเซีย ตั้งอยู่บนยอดหน้าผาสูงชันและรายล้อมไปด้วยทิวทัศน์ของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
ตรอกซอกซอยที่ปูด้วยหิน สวนที่เต็มไปด้วยเฟื่องฟ้าและดอกไม้หลากสี กลิ่นหอมของดอกมะลิ สองฝั่งถนนเรียงรายไปด้วยร้านค้างานศิลปะ แผงขายของที่ระลึก และร้านกาแฟ ประตูและโครงไม้ระแนงทาสีฟ้าที่สวยงามตัดกับสีขาวบริสุทธิ์ของอาคารบ้านเรือน ซิดิ บู ซาอิดเป็นเมืองชายทะเลที่สวยงามและงดงามที่สุดในตูนิเซีย
เมืองนี้ได้รับการตั้งชื่อตาม “อบู ซาอิด อัล-บาจี” Abu Said Ibn Khalef Ibn Yahia El-Beji นักบุญชาวมุสลิม หลังจากเดินทางจาริกแสวงบุญไปยังนครเมกกะแล้วเขาก็กลับบ้านและแสวงหาความสงบเงียบของหมู่บ้านเล็กๆ ในเขตชานเมืองตูนิสชื่อ ‘เยเบลเอล – มานาร์’ (Jebel El-Manar) ชื่อหมู่บ้านมีความหมายว่า “The Fire Mountain” ซึ่งหมายถึงสัญญาณไฟที่จุดบนหน้าผาในสมัยโบราณเพื่อนำทางเรือที่เดินเรือผ่านอ่าวตูนิส
อาบูซาอิดเสียชีวิตในป 1231 หลุมฝังศพของเขากลายเป็นสถานที่แสวงบุญของชาวมุสลิมผู้เคร่งศาสนา และเมื่อเวลาผ่านไปเมืองก็เติบโตขึ้น จนกระทั่งในช่วงต้นทศวรรษที่ 1920 เมืองนี้ได้นำโทนสีฟ้าและสีขาวที่โดดเด่นมาใช้ โดยได้รับแรงบันดาลใจจากพระราชวังของ โรดอล์ฟ แดร์ลังเจอร์ (Baron Rodolphe d’Erlanger) จิตรกรชาวฝรั่งเศสและนักดนตรีที่มีชื่อเสียงซึ่งเป็นที่รู้จักจากผลงานในการส่งเสริมดนตรีอาหรับซึ่งอาศัยอยู่ในซิดิ บู ซาอิดตั้งแต่ปี 1909 จนกระทั่งเสียชีวิตในปี 1932
พระราชวังแห่งนี้ได้รับการขนานนามว่า Ennejma Ezzahra หรือ Sparkling Star เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความรักในวัฒนธรรมอาหรับของบารอน สถาปัตยกรรมแบบนีโอ-มัวร์เป็นเกียรติแก่เทคนิคการสร้างโบราณของอารเบียและอันดาลูเซีย ด้วยประตูโค้งที่สวยงามและตัวอย่างงานแกะสลักไม้ งานปูน และกระเบื้องโมเสคอันน่าทึ่ง
ตั้งแต่นั้นมาเมืองนี้ก็กลายเป็นมีความหมายเหมือนกันกับศิลปะและความคิดสร้างสรรค์โดยจัดให้มีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับจิตรกร นักเขียน และนักข่าวที่มีชื่อเสียงหลายคน พอล คลี (Paul Klee) ศิลปินชาวเยอรมันได้รับแรงบันดาลใจจากความสวยงามของเมืองนี้ และ อ็องเดร ฌีด (André Gide) นักเขียนและผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมมีบ้านอยู่ที่นี่
ในปี 1915 ซิดิ บู ซาอิดได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย (ปัจจุบันได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกร่วมกับแหล่งโบราณคดีคาร์เธจในบริเวณใกล้เคียง)
Beautiful Small Towns #11 – ‘โจวจวง’ (Zhouzhuang, China)
เมืองแห่งสายน้ำ ในเจียงหนาน (ทางใต้ของแม่น้ำแยงซี) ในพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซี
หมู่บ้านโบราณแห่งนี้มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 900 ปี และมีบ้านเรือนและสะพานที่สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง (1368-1644) และราชวงศ์ชิง (ค.ศ. 1644–1911)
โจวจวง เมืองที่มีชื่อเสียงในด้านภูมิหลังทางวัฒนธรรมที่ลึกซึ้งที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศจีน ตั้งอยู่ในเมืองคุนซาน บ้านพักอาศัยโบราณที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดี ทิวทัศน์อันสวยงามของสายน้ำ และขนบธรรมเนียมประเพณีที่มีสีสันในท้องถิ่น มีประมาณ 1,000 ครัวเรือนอาศัยอยู่ในบ้านเก่าที่สร้างขึ้นในราชวงศ์หมิง ราชวงศ์ชิง และยุคสาธารณรัฐตอนต้น
“โจวจวง” มีความหมายตามตัวอักษรว่า “หมู่บ้านโจว” หมู่บ้านที่ตั้งชื่อตามโจวตี้กง Zhou Digong เป็นชาวพุทธที่เคร่งศาสนา ในปี 1088 ระหว่างราชวงศ์ซ่งเหนือ ที่ได้บริจาคที่ดิน 13 เฮกตาร์ของเขาให้กับวัดวัดเฉวียนฝู (Quanfu Temple) ต่อมาชาวบ้านในท้องถิ่นเรียกดินแดนนี้ว่า “หมู่บ้านโจว” – โจวจวงเพื่อขอบคุณในความเอื้ออาทรของโจวตี้กง
โจวจวงถูกล้อมรอบด้วยทะเลสาบและแม่น้ำ คลองที่ตัดผ่านโจวจวงมีสะพานหินหลายแห่ง สะพาน 14 แห่งถูกสร้างขึ้นในสมัยจักรวรรดิเมื่อประมาณ 150 ปีที่แล้วหรือมากกว่านั้น เช่น สะพานฟูอัน (ซึ่งถือเป็นสะพานที่เก่าแก่ที่สุดในโจวจวงที่สร้างขึ้นในปี 1355 ในสมัยราชวงศ์หยวน) สะพานเจิ้นเฟิงอยู่ที่ปากแม่น้ำจงซี สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิงและชิงและได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี หรือ สะพานแฝด เป็นสัญลักษณ์ที่มีชื่อเสียงที่สุดและถือเป็นสัญลักษณ์ของเมืองที่เงียบสงบ สร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิว่านลี่ (1573-1619)
Beautiful Small Towns #12 – ‘โกคายามะ’ (Gokayama Historic Village, Japan)
ในภูเขาที่ห่างไกลจากจังหวัดกิฟุไปยังจังหวัดโทยามะ หมู่บ้านชิราคาวะโกะ (白川郷, ชิราคาวาโก) และโกคายามะ (五箇山) เรียงรายไปตามหุบเขาแม่น้ำโชกาวะ หมู่บ้านเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของมรดกโลกขององค์การยูเนสโกของญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 1995
หมู่บ้านบนภูเขาห่างไกลที่มีบ้านสไตล์กัสโชในชิราคาวาโกะ และโกคายามะบนที่ราบสูงฮิดะตั้งอยู่ในพื้นที่ภูเขาที่ถูกตัดขาดจากส่วนอื่นๆ ของโลกมาเป็นเวลานาน ชาวบ้านยังดำรงชีพด้วยการเพาะปลูกต้นหม่อนและการเลี้ยงไหม แม้จะมีความวุ่นวายทางเศรษฐกิจ หมู่บ้านเหล่านี้เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมที่ปรับให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมและสภาพสังคมและเศรษฐกิจของผู้คนได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทิวทัศน์ของหมู่บ้านบนภูเขาที่มีบ้านแบบดั้งเดิมตั้งอยู่เคียงข้างกันเป็นเหมือนดั่งเทพนิยาย
บ้านที่มีลักษณะเฉพาะนี้ถูกสร้างขึ้นในบริเวณนี้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ในภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า ‘กัสโช-สึคุริ’ (Gassho-zukuri) หมายถึง ‘การอธิฐาน’ ในที่นี้หมายถึงรูปทรงสามเหลี่ยมของหลังคาเหมือนกับการผสานมือประกบกันในการสวดมนต์
การออกแบบสถาปัตยกรรมได้พัฒนาขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมาเพื่อให้ทนต่อหิมะจำนวนมากที่รุมเร้าอยู่ในภูมิภาคนี้ บ้านสไตล์กัสโชสร้างด้วยท่อนไม้และเชือกโดยไม่มีตะปู วิธีนี้มีความสำคัญสำหรับการรองรับหลังคาที่มีหิมะตกหนักในฤดูหนาว
บ้านที่มีหลังคามุงจากจะอบอุ่นอย่างไม่คาดคิดในฤดูหนาวและเย็นสบายในฤดูร้อน มีเตาผิง “อิโรริ” (“irori”) อยู่ตรงกลางห้องนั่งเล่น ไฟจากเต่ผิงจะทำให้ห้องอุ่นขึ้น และควันก็ลอยขึ้นบนเพดานและหลังคาฝ้ารมควันทำให้บ้านแข็งแรง
ในโครงสร้างหลายชั้นนั้น ชั้นที่สามและสี่มีลักษณะเฉพาะเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นการแสดงให้เห็นถึงการมองการณ์ไกลของเกษตรกร ที่สามารถเลี้ยงไหมได้แม้ในฤดูหนาว โดยหนอนไหมจะถูกกักไว้ในห้องใต้หลังคาซึ่งความร้อนจากชั้นหนึ่งจะเพิ่มสูงขึ้น หลังคาที่มีความลาดเอียง 60 องศาเพื่อให้หิมะตกหนัก (บางครั้งอาจสูงถึงสี่เมตร) เลื่อนไหลออกไปได้ง่ายขึ้น
เมื่อมาถึงโกคายามะให้ลองไปที่หมู่บ้าน เออิโนะคุระ (Ainokura) ซึ่งมีบ้าน 24 หลังตั้งอยู่หน้าฉากหลังเป็นภูเขาหรือหมู่บ้าน ซุกานุมะ (Suganuma) ที่มีบ้านเก้าหลังซึ่งสองหลังสร้างขึ้นในสมัยเอโดะ (1603-1867) ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญ และบ้าน ‘อิวาเซะ’ (Iwase) ซึ่งเป็นบ้านสไตล์กัซโชที่ใหญ่ที่สุดในโกคายามะ
Beautiful Small Towns #13 – ‘ปาร์กา’ (Parga, Greece)
เมืองที่ซ่อนตัวอยู่ในอ่าวเล็กๆ บนชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของภูมิภาคเอพิรุส ประเทศกรีซ บ้านเรือนที่อบอวลไปด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมของชาวเวนิส (คฤหาสน์ทรงเตี้ยสีสันสดใสพร้อมหลังคากระเบื้องเซรามิกที่มองเห็นทะเลปราสาทและถนนที่ปูด้วยหินกรวด) ซึ่งครั้งหนึ่งเคยครอบครองพื้นที่นี้ ต้นไม้เขียวชอุ่ม สวนมะกอก และพืชพรรณรายรอบบริเวณ โดยเฉพาะน้ำทะเลสีเทอร์ควอยซ์-มรกตที่สวยงามสดใส
ในสมัยโบราณพื้นที่ของปาร์กาเป็นที่อาศัยของชนเผ่ากรีกโบราณที่เรียกว่าชาว ‘เธสโปรเทียน’ (Thesprotians) มีหลักฐานว่าอ่าว ปาร์กามีผู้คนอาศัยอยู่ตั้งแต่ยุคอารยธรรมไมซีนี 168 ปีก่อนคริสตกาลชาวมาซิโดเนียพ่ายแพ้ต่อโรมันในสมรภูมิ ‘Battle of Pydna’ ซึ่งทำให้นายพลชาวโรมัน ‘ลูเซียส อมิเลิย สพอลลัส เมซโดนิคัส’ (Lucius Aemilius Paullus -229-160 BC) ทำลายเมืองทั้งหมดของเอพิรุสรวมถึงปาร์กา
ปี ค.ศ. 1360 ชาวปาร์กาหลีกเลี่ยงการโจมตีของชาวอัลเบเนียจึงได้ย้ายหมู่บ้านที่อยู่ใกล้กับยอดเขา ‘เปโซโวโล’ (Mt.Pezovolo) มายังที่ตั้งปัจจุบัน ปาร์กาน่าจะสร้างขึ้นใกล้กับที่ตั้งของเมืองโทรีนโบราณซึ่งมีการกล่าวถึงในบทละครเรื่อง ‘แอนโทนี และคลีโอพัตรา’ ของเชกสเปียร์ ในช่วงเวลานั้นชาวนอร์มันซึ่งถือครองคอร์ฟูได้ช่วยชาวเมืองสร้างป้อมปราการเพื่อป้องกันโจรสลัดและศัตรูที่อยู่ใกล้เคียง
ชาวเวเนเชียนเข้ายึดเกาะไอโอเนียนในปี 1401 ปาร์กันก็ตกอยู่ภายใต้อำนาจของพวกเขา แต่ชาวเวนิสเคารพวิถีชีวิตของชาวปาร์กาที่ให้ความช่วยเหลือชาวเวนิสต่อต้านกับพวกออตโตมัน เนื่องจากปาร์กาเป็นหมู่บ้านชาวคริสต์ที่เป็นอิสระเพียงแห่งเดียวของเอพิรุส
หมู่เกาะไอโอเนียนและปาร์กาตกอยู่ในเงื้อมมือของกองทัพฝรั่งเศสและในปีค.ศ.1800 ต่อมาในปี 1815 กองทัพนโปเลียนพ่ายแพ้ในสมรภูมิวอเตอร์ลู ชาวเมืองปาร์กาได้ลุกฮือต่อต้านการปกครองของฝรั่งเศสและขอความคุ้มครองจากอังกฤษ แต่ในปี 1817 ตามสนธิสัญญาระหว่างอังกฤษและจักรวรรดิออตโตมัน อังกฤษได้มอบปาร์กาให้กับออตโตมาน
ชาวปาร์กาไม่เคยหยุดที่จะฝันที่จะเป็นอิสระ และมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการต่อสู้เพื่ออิสรภาพ แต่พวกเขาต้องรอเกือบ 100 ปี กว่าที่ปาร์กาและเอพิรุสจะได้รับการปลดปล่อยจากการปกครองของออตโตมันในปี 1913 หลังจากชัยชนะของกรีซในสงครามบอลข่าน (Balkan Wars)
Beautiful Small Towns #14 – ‘ซนอยโม’ (Znojmo, Czech Republic)
ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ Dyje ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเบอร์โน ใกล้ชายแดนเช็กฯ-ออสเตรีย เมืองซนอยโมมีอายุย้อนไปถึงช่วงต้นศตวรรษที่ 11 ได้รับสถานะเป็นเมืองของราชวงศ์ในปี 1226 โดย พระเจ้าออทโทคาร์ที่ 1 แห่งโบฮีเมีย (Ottokar I of Bohemia) เป็นเมืองแรกในภูมิภาคโมราเวียใต้
ปี 1645 ระหว่างสงครามสามสิบปี ซนอยโมถูกรุกรานโดยกองทัพของ ‘เลนนาร์ต ทอร์สเตนส์สัน’ (Lennart Torstenson) นายพลแห่งกองทัพสวีเดน และในปี 1809 อาร์ชดยุกชาร์ลส์แห่งออสเตรีย และนโปเลียนพบกันที่ซนอยโมเพื่อจัดให้มีการสงบศึกหลังยุทธการที่วากรัม *(Battle of Wagram-การรบระหว่างจักรวรรดิฝรั่งเศสที่ 1 กับจักรวรรดิออสเตรีย ซึ่งฝรั่งเศสได้รับชัยชนะ จนทำให้เกิดสนธิสัญญาเชินบรุน)
ซากของป้อมปราการ กำแพงเมืองและหอคอย รวมถึงบ้านเรือนในสมัยเรอเนซองส์และบาโรก ได้รับการอนุรักษ์ไว้ในเขตเมืองเก่า ซึ่งถูกกำหนดให้เป็นอนุสาวรีย์โบราณ เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของซนอยโม
ระบบป้อมปราการของเมืองถือเป็นเมืองที่มีป้อมปราการที่ดีที่สุดของเส้นทางระหว่างเวียนนาและปราก ในศตวรรษที่ 17 และ 18 กำแพงยุคกลางไม่เพียงพออีกต่อไปเนื่องจากรูปแบบการสงครามพัฒนาเกินกว่าความสามารถในการป้องกัน และหลังจากสงครามนโปเลียนผู้นำเมืองค่อยๆ ดำเนินการรื้อถอนประตูกำแพงเมืองออกไป
ปราสาทซนอยโม สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 11 ต่อมาสร้างขึ้นใหม่โดยเจ้าชายโมเรเวียจากราชวงศ์เพรมีสลิด และสร้างขึ้นใหม่อีกครั้งในศตวรรษที่ 18 ปัจจุบันถูกใช้เป็นพิพิธภัณฑ์
หอคอยของศาลาว่าการเป็นหนึ่งในอาคารยุคกลางที่สำคัญที่สุดในสาธารณรัฐเช็ก หอคอยนี้มีความสูง 66.58 เมตร จุดชมวิวด้านบนสามารถมองเห็นบริเวณเชิงเขาที่ราบสูงโบฮีเมียน-มอเรเวียทางตะวันตกเฉียงเหนือ และเนินเขาปาลาวาทางตะวันออกเฉียงใต้ และหากทัศนวิสัยที่ดีเป็นพิเศษ ยังสามารถมองเห็นยอดเขาที่อยู่ห่างไกลจากเทือกเขาแอลป์ของออสเตรียอีกด้วย
เมืองใต้ดินของเมืองซนอยโม เป็นระบบทางเดินใต้ดินและห้องใต้ดินที่ใหญ่ที่สุดในสาธารณรัฐเช็ก และมีความยาวเกือบ 27 กม. และลึกถึง 4 ชั้น นอกจากพื้นที่ใต้ดินจะกว้างใหญ่ไพศาลแล้ว ยังค่อนข้างเก่าอีกด้วย จุดเริ่มต้นของการก่อสร้างทางเดินนี้มีอายุย้อนไปถึงช่วงเปลี่ยนศตวรรษที่ 14 และ 15
Beautiful Small Towns #15 – ‘ดีสเซนโฮเฟน’
(Diessenhofen, Switzerland) หมู่บ้านเล็กๆ อยู่บนฝั่งแม่น้ำไรน์ ระหว่าง เมืองสไตน์ ฮัม ไรน์ และ เมืองชาฟฟ์เฮาเซิน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ต้นกำเนิดของเมืองเล็กๆ แห่งนี้มีอายุย้อนไปถึงปี 757 สะพานไม้ที่ปกคลุมเหนือแม่น้ำไรน์เชื่อมระหว่างดีสเซนโฮเฟน กับเมืองเกลลิงเงน ประเทศเยอรมนี สร้างขึ้นเพื่อเป็นด่านศุลกากรและทำรายได้จากค่าผ่านทางข้ามแม่น้ำไรน์ ถือเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของเมือง
ในคืนวันที่ 8-9 ตุลาคม ปี 1799 ทหารรัสเซียแห่งกองทัพคอร์ซาคอฟได้จุดไฟเผาสะพานขณะถอยทัพ การก่อสร้างสะพานใหม่เริ่มต้นขึ้นในปี 1814 ในในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1944) นักบินชาวอเมริกันได้ทิ้งระเบิดที่หัวสะพานทางเหนือที่ติดกับเขตเยอรมัน
ถนนแคบๆ และบ้านสูง บ่งบอกถึงลักษณะของเมืองเก่าในยุคกลางซึ่งที่ใหญ่ที่สุดในเขตทูร์เกา (Thurgau) ภายในหมู่บ้านเป็นที่ตั้งของ ‘โบสถ์เซนต์แคทเธอรีน’ (Church of Saint Catherine) อารามโดมินิกันเดิมตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำไรน์ และมีประวัติย้อนหลังไปถึงต้นศตวรรษที่ 13 เป็นสไตล์บาโรกตอนปลายในสวิตเซอร์แลนด์ ภายในตกแต้งด้วย แท่นบูชา รูปภาพ และภาพวาดบนเพดานอันงดงาม สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1735 ถึง ค.ศ. 1741 และได้รับการออกแบบโดยโยฮันน์ จาค็อบ บอมเมอร์ (Johann Jakob Bommer) ปรมจารย์ผู้สร้างออร์แกนต้นแบบจากไวน์การ์เทน (Weingaten)
หอคอยแขวนของดีสเซนโฮเฟน สร้างขึ้นในปี 1391 เพื่อใช้เป็นฐานวางปืนบนแม่น้ำไรน์โดยตรง ในปีค.ศ.1616 มันถูกดัดแปลงเป็นเรือนจำจนถึงราวปี 1800 และดัดแปลงมาเป็นโรงย้อมผ้าในปี 1828 จากนั้นตัวอาคารถูกปล่อยให้ร้างมาจนถึงปี 1880 และได้รับการบูรณะอีกครั้งในปี 1947
Beautiful Small Towns #16 – ‘วิสบี’ (Visby, Sweden)
หมู่บ้านแห่งเทพนิยายยุคกลางที่มีเสน่ห์แห่งนี้ ตั้งอยู่ในทะเลบอลติก บนเกาะกอตแลนด์ (Gotland) เกาะที่ใหญ่ที่สุดของสวีเดน ได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกตั้งแต่ปี 1995 เป็นเมืองยุคกลางที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีที่สุดแห่งหนึ่งในสแกนดิเนเวีย
วิสบีเป็นเมืองฮันซีติกมีอายุย้อนไปถึงศตวรรษที่ 12 กำแพงล้อมรอบยาว 3.5 กิโลเมตร สูง 11 เมตร โดยมีหอคอยดั้งเดิมจำนวนมากที่ยังคงสภาพสมบูรณ์ 36 แห่ง และประตูหลักสามประตู กำแพงเมืองนี้เรียกว่า Ringmuren (กำแพงวงแหวน) ตามถนนในเมืองมีอาคารและบ้านเรือนมากกว่า 200 หลัง มหาวิหารวิสบีและกำแพงเมืองถูกสร้างขึ้น ในปี 1361 เมืองวิสบีอยู่ภายใต้การควบคุมของเดนมาร์กโดยวัลเดมาร์ที่ 4 แห่งเดนมาร์ก (Valdemar IV of Denmark) การปกครองของเดนมาร์กยาวนานถึง 300 ปี
ในช่วงปี 1391, 1394 และ 1398 โจรสลัด (กลุ่ม Victual Brothers) ได้ปล้นเมือง ในปีเดียวกันของปี 1398 อัศวินทิวทอนิก (Teutonic Order) ได้แล่นเรือไปยังวิสบีและขับไล่เหล่าโจรสลัดกลุ่มนี้ได้สำเร็จ ในปี 1909 ‘อุลริช ฟอน ญองเงน’ (Ulrich von Jungingen) เป็นประมุขคนที่ 26 ของอัศวินทิวทอนิก ได้ขายเกาะนี้ให้กับราชินี มาร์กาเร็ตแห่งนอร์เวย์ เพื่อรับรองสันติภาพกับ Kalmar Union of Scandinavia*
*( Kalmar Union of Scandinavia – สหภาพสแกนดิเนเวียก่อตั้งขึ้นที่เมืองคาลมาร์ ประเทศสวีเดน ในเดือนมิถุนายน ค.ศ.1397 ซึ่งนำราชอาณาจักรนอร์เวย์ สวีเดน และเดนมาร์กมารวมกันภายใต้พระมหากษัตริย์เพียงพระองค์เดียวจนถึงปี ค.ศ.1523)
อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เมืองนี้เคยเป็นบ้านของโจรสลัด ทนต่อความบาดหมาง และถูกเผา (ยกเว้นมหาวิหาร) ในปี ค.ศ. 1645 วิสบีถูกยึดครองและปกครองโดยสวีเดนอีกครั้ง สองสามเดือนในปี 1808 Gotland ถูกรัสเซียยึดครอง แต่ในไม่ช้ามันก็ถูกส่งกลับสวีเดนอย่างสงบ
ตั้งแต่ปี 1984 งานเทศกาลยุคกลาง (Medieval Week หรือ Medeltidsveckan) จะจัดขึ้นในเดือนสิงหาคม วิสบีจะเฉลิมฉลองสัปดาห์ยุคกลาง ด้วยตลาดที่มีชีวิตชีวารวมทั้งดนตรีและโรงละคร เป็นเทศกาลยุคกลางที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปตอนเหนือ และเป็นงานที่มีชีวิตชีวาซึ่งผู้คนแต่งกายด้วยเครื่องแต่งกายและสร้างชีวิตใหม่ในยุคกลาง เป็นประสบการณ์ที่มีชีวิตชีวาสำหรับผู้มาเยือนทุกวัย
Beautiful Small Towns #17 – ‘คินเซล’ (Kinsale, Ireland)
เมืองประมงที่มีชื่อเสียงของเคาน์ตี้คอร์ก (County Cork) เป็นหนึ่งในเมืองที่สวยงาม เป็นที่นิยมและทันสมัยที่สุดบนชายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของไอร์แลนด์
คินเซลผสมผสานประวัติศาสตร์และความน่ารักได้ดีกว่าเมืองใดๆ บนชายฝั่งทางใต้ของไอร์แลนด์ อาคารหลายแห่งของเมืองสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 18 และ 19 และบริเวณนี้ยังคงรักษาเสน่ห์ของโลกเก่าไว้อย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เนื่องจากเป็นเมืองทหารรักษาการณ์และเป็นท่าเรือที่สืบเนื่องมาเป็นเวลากว่า 300 ปี จึงเป็นบ้านสไตล์จอร์เจียนอันงดงามและได้รับอิทธิพลของสถาปัตยกรรมดัตช์
ถนนแคบและคดเคี้ยวและสัมผัสถึงประวัติศาสตร์ 1,000 ปีอันเป็นเอกลักษณ์ของเมือง บ้านเรือนทาสีชมพู ฟ้า เหลือง และเขียว ทำให้คินเซลเต็มไปด้วยบ้านที่มีสีสันที่สุดของไอร์แลนด์ สองฝั่งถนนที่เรียงรายไปแกลเลอรีร้านขายของกระจุกกระจิก บาร์ที่มีชีวิตชีวา และร้านอาหารชั้นเลิศ ท่าเรือธรรมชาติที่สวยงามซึ่งเต็มไปด้วยเรือยอทช์ที่ได้รับการปกป้องโดยป้อมปราการขนาดใหญ่สมัยศตวรรษที่ 17
คินเซลมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย ตั้งแต่ท่าเทียบเรือประมง เรือเช่าเหมาลำ ไปจนถึงสถานที่ทางประวัติศาสตร์ เช่น ป้อมชาร์ล (Charles Fort) อยู่ทางฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของเมือง และสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 17 เพื่อปกป้องเมืองและปากแม่น้ำ ปราสาทเดสมอนด์ (Desmond Castle) สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 16 และเคยเป็นบ้านของเอิร์ลแห่งเดสมอนด์ มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ตั้งแต่การยึดครองของสเปน เพื่อใช้เป็นที่คุมขังสำหรับลูกเรือชาวอเมริกันที่ถูกจับในช่วงสงครามประกาศอิสรภาพของอเมริกา เคยใช้เป็นด่านศุลกากร และสถานสงเคราะห์ดูแลคนยากจน ปราสาทเดสมอนด์ได้รับการประกาศให้เป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติในปี 1938
Beautiful Small Towns #18 – ‘เป็งลิปุราน’ (Penglipuran, Indonesia)
หมู่บ้านที่สงบ สะอาด และเงียบสงบที่สุดแห่งหนึ่งของอินโดนีเซีย ที่ยังคงถูกผูกมัดด้วยขนบธรรมเนียมที่คงอยู่มานานหลายศตวรรษ มักจะมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ซึ่งยึดถือแนวคิดของ Tri Hita Karana ซึ่งเป็นปรัชญาบาหลีในการสร้างสมดุลระหว่างความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้า มนุษย์ และสิ่งแวดล้อม
ตามตำนานและคำให้การของคนเฒ่าคนแก่ของหมู่บ้าน ชื่อ Penglipuran มาจาก ‘Pengeling Pura’ ซึ่งหมายถึง ‘การระลึกถึงบรรพบุรุษ’ บ่งบอกว่าหมู่บ้านนี้สร้างขึ้นเพื่อเคารพบรรพบุรุษของพวกเขาที่คินตามานี (Kintamani) เท่านั้น ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เป็งลิปุรานเป็นหนึ่งในหมู่บ้านของบาหลีที่ผู้คนมักถวายเครื่องบูชาและประกอบพิธีกรรมเพื่อเคารพวิญญาณในตำนาน มีการตีความอื่น ๆ ของคำว่า Penglipuran บางคนบอกว่ามันมาจากคำว่า ‘Pelipur Lara’ ซึ่งหมายถึง ‘การปลอบใจ’ และบางคนอ้างว่า ‘Panglen’ และ ‘Pura’ หมายถึงวัดสี่แห่งที่ตั้งอยู่ตามทิศทั้งสี่
แผนผังของหมู่บ้านได้รับการดัดแปลงมาจากแนวคิด Three Mandalas ของศาสนาฮินดูแบบบาหลี ได้แก่ Parhyangan (พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์), Pawongan (พื้นที่ตั้งถิ่นฐาน) และ Palemahan (สุสาน, พื้นที่เกษตรกรรม ฯลฯ) สร้างตามสถาปัตยกรรมบาหลีแบบดั้งเดิมด้วยวัสดุต่างๆ เช่น หิน ไม้ ปาล์ม และไม้ไผ่ ซึ่งได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดี
ด้านนอกหมู่บ้าน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ ปาห์ยันกาน (Parhyangan) จะเห็นป่าไผ่ศักดิ์สิทธิ์ขนาด 45 เฮกตาร์ที่สวยงามให้เดินผ่านและตื่นตาตื่นใจ ตรงกลางจะพบกับวัดที่สวยงามและเรียบง่ายสี่แห่งซึ่งผู้คนจะสวดมนต์และแสดงความเคารพ ภายในพื้นที่ เปวันกาน (Pawongan) มีประตู ลาน ครัว ที่พักอาศัย และพื้นที่ละหมาด หมู่บ้านแห่งนี้ไม่เหมือนกับหมู่บ้านอื่นๆ ในบาหลี เนื่องจากเป็งลิปุรานได้รับการดูแลให้มีความดั้งเดิมมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อเทพเจ้าและบรรพบุรุษ
ในพื้นที่ ปาเลมาฮาน (Palemahan) มีสุสานที่ประกอบด้วยสามส่วน ที่บอกถึงการที่ผู้ตายเสียชีวิต และอายุเท่าใด ซึ่งแตกต่างจาก ‘งานศพ’ ของชาวบาหลีทั่วไป
นอกจากนี้ผู้อยู่อาศัยในบริเวณใกล้เคียงทุกคนก็อยู่กันอย่างกลมกลืนและเป็นมิตรอย่างยิ่ง พวกเขาจะให้การต้อนรับที่ดีที่สุดแก่ผู้มาเยือนแม้ในขณะที่คุณก้าวเข้ามาในบ้านของพวกเขาเพียงเล็กน้อย ยิ่งเป็นเหตุผลสำหรับผู้ที่สนใจในวัฒนธรรมท้องถิ่นที่จะมาเยี่ยมชมหมู่บ้านอันเงียบสงบแห่งนี้
เป็งลีปูรันได้รับเลือกให้เป็นหมู่บ้านที่สะอาดที่สุดอันดับ 3 ของโลกตามนิตยสารนานาชาติ Boombastic ในปี 2560 ได้รับรางวัลการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนของอินโดนีเซีย (ISTA) จากนั้นในปี 2560 ก็ได้รับการจัดอันดับให้ดีที่สุดในหมวดการอนุรักษ์วัฒนธรรม
Beautiful Small Towns #19 – ‘พาราตี’ (Paraty, Brazil)
เกาะเล็กๆ ชายหาด และอ่าวต่างๆ อยู่ในรัฐรีโอเดจาเนโรและเซาเปาโล ตั้งอยู่ในระหว่างเทือกเขา Serra do Mar อันตระหง่านหรือที่รู้จักในท้องถิ่นว่า Serra da Bocaina และมหาสมุทรแอตแลนติก เมืองชายฝั่งประวัติศาสตร์ที่มีเสน่ห์ หนึ่งในสถานที่ที่งดงามที่สุดของบราซิล และเป็นศูนย์กลางอาณานิคมโปรตุเกสที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างประณีต ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะแหล่งประวัติศาสตร์แห่งชาติตั้งแต่ปี 1966
หมู่บ้าน Paraty (หรือ Parati) ก่อตั้งขึ้นในปีค.ศ.1597 ก่อนที่จะกลายเป็นอาณานิคมของโปรตุเกสอย่างเป็นทางการในปลายศตวรรษที่ 17 ( ค.ศ. 1667) เดิมเป็นที่อยู่อาศัยของชนเผ่าพื้นเมือง ‘กัวยานาส’ (Guaianás) อาศัยอยู่ ชาวกัวยานาส เรียกพื้นที่ทั้งหมดว่า “Paraty” ในภาษาตูปี “ปารตี” แปลว่า “แม่น้ำปลา”
ในศูนย์กลางประวัติศาสตร์ จะมีร้านอาหารและบาร์ แต่นอกเหนือจากนี้ยังสามารถเดินเล่นเพื่อชื่นชมสถาปัตยกรรมอิฐที่สวยงาม และหลงทางในละแวกใกล้เคียงที่มีเสน่ห์ได้ โบสถ์ซานตา ริต้า (Igreja de Santa Rita) เป็นโบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองและมีการตกแต่งภายในแบบบาโรก ซึ่งปัจจุบันพิพิธภัณฑ์ศิลปะ ที่สร้างขึ้นในปี 1722
ถนนคนเดินในเมืองนี้เรียงรายไปด้วยอาคารสีขาวที่ประดับประดาด้วยเส้นขอบหลากสีอันสวยงาม และหน้าต่างบานเกล็ดที่กลมกลืนกับความงามของธรรมชาติที่โอบล้อมเมืองอย่างกลมกลืน บริเวณโดยรอบพาราตีเป็นสวรรค์ของคนรักธรรมชาติ สวรรค์เขตร้อนแห่งนี้มองเห็นอ่าว Ilha Grande บนชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกและภูเขาที่สวยงามที่สุดในบราซิลทางตะวันออกเฉียงใต้
ในฐานะมรดกโลกขององค์การยูเนสโก ปาราตีเป็นเมืองที่มีความงามตามธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ที่ฝังอยู่ในถนนที่ปูด้วยหิน และสถาปัตยกรรมที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างไม่มีที่ติจากพื้นที่อาณานิคม พาราตีก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1667 โดยเคยเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจด้วยโรงงานอ้อยมากกว่า 250 โรงที่ นอกจากนี้ยังเป็นจุดแวะที่สำคัญในเส้นทางการค้าทองคำและอัญมณีในศตวรรษที่ 18
พาราตี และเกาะอิลลากรังดิ (Paraty and Ilha Grande)ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมและความหลากหลายทางชีวภาพ เมื่อปี 2019 พื้นที่นี้เป็นที่อยู่ของสายพันธุ์ที่หลากหลายน่าประทับใจ ซึ่งบางชนิดก็ถูกคุกคาม เช่น จากัวร์ (Panthera onca) นกเพกคารีปากขาว (Tayassu pecari) และลิงหลายสายพันธุ์ รวมทั้งลิงแมงมุมขน (Brachyteles arachnoides) เป็นสัญลักษณ์ของพื้นที่
Beautiful Small Towns #20 – ‘ทรัวส์’ (Troyes, France)
เมืองทางตะวันออกเฉียงเหนือของฝรั่งเศส ในแคว้นช็องปาญาร์แดน (Champagne-Ardenne) มีความโดดเด่นจากอุตสาหกรรมสิ่งทอของฝรั่งเศส ทั้งในด้านการผลิต ร้านค้า และโรงงานจำนวนมาก
ทรัวส์เป็นศูนย์กลางยุคกลางที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในฝรั่งเศส และแน่นอนว่าเมืองเก่าในทรัวส์เป็นอาคารที่สวยงามมากมาย โดยมีถนนคดเคี้ยวที่ปูด้วยหิน บ้านเรือนสูงตระหง่านล้อมรอบอาสนวิหารที่สวยงาม อาคารครึ่งไม้แบบดั้งเดิมที่งดงามซึ่งมีผนังสีแดง เหลือง ขาว หรือในโทนสีพาสเทลกับประตูไม้ที่ตกแต่งอย่างประณีตสวยงามจากศตวรรษที่ 16 ได้รับการบูรณะเป็นอย่างดี ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นบ้านของพ่อค้าสิ่งทอผู้มั่งคั่ง รวมถึงพิพิธภัณฑ์ที่อุดมไปด้วยมรดกดั้งเดิมของท้องถิ่น
มหาวิหารสไตล์โกธิกของแซงต์-ปีเตอร์และเซนต์ปอล (Cathedral of Saint-Peter and Saint Paul) สร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 – 17 ในสไตล์แบบโกธิกเป็นศูนย์กลางของเมืองทรัวส์ ตกแต่งด้วยการ์กอยล์เหนือด้านหน้าอาคารด้านทิศตะวันตก ภายในมหาวิหารตกแต่งด้วยหน้าต่างกระจกสี 182 บาน
โบสถ์เซนต์แมเดลีน (Church of Saint-Madeleine) สมัยศตวรรษที่ 12 ซึ่งเป็นโบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดในทรัวส์ และมีงานแกะสลักหินที่โดดเด่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งตะแกรงไม้ รูปปั้น และหน้าต่างกระจกสี รวมถึงมหาวิหารเซนต์เออร์เบิน (Cathedral of Saint-Urbain) ซึ่งเป็นผลงานชิ้นเอกของสไตล์โกธิก
ศาลาว่าการเมืองเป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของอาคารยุคเรอเนสซองส์ในยุคหลังและสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 17 อาคาร Hotel du Lion Noir บนถนน Rue Emile Zola และมีอายุตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 บ้านหลังนี้มีความน่าสนใจเป็นพิเศษเพราะมีบันไดด้านนอกที่เปิดโล่ง
ความมั่งคั่งทางสถาปัตยกรรมของใจกลางเมืองทำให้เราดื่มด่ำกับอดีตอันรุ่งโรจน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมสิ่งทอ โรงงานเก่าที่หุ้มด้วยอิฐสีแดงยังคงรักษาส่วนหน้าอาคารเดิมไว้ ปัจจุบันได้รับการดัดแปลงเป็นที่อยู่อาศัย ความงามที่ผสมผสานวัสดุต่างๆ เช่น เหล็กหล่อและแก้ว สะท้อนถึงตลาดที่ครอบคลุมของทรัวส์ ผนังด้านนอกประดับด้วยเสา แต่ละเสามีหัวสิงโตเหล็กหล่อ และอาคารทั้งหลังถูกหุ้มด้วยโครงหลังคาโลหะ อาคารขนาดใหญ่แห่งนี้ซึ่งสร้างขึ้นในปี 1876
Beautiful Small Towns #21 – ‘โทรเกียร์’ (Trogir, Croatia)
เมืองประวัติศาสตร์ตั้งอยู่บนเกาะเล็กๆ ระหว่างแผ่นดินใหญ่ของโครเอเชีย และ เกาะชิโวโว่ (Ciovo)
ชาวเวเนเชียนเรียก Trogir เรียกว่า Trau ตัวเมืองตั้งอยู่ภายในกำแพงยุคกลางบนเกาะเล็กๆ เมืองเก่ายังคงรักษาอาคารที่สวยงามและสมบูรณ์ไว้มากมายตั้งแต่ยุครุ่งเรืองระหว่างศตวรรษที่ 13 ถึง 15 เมืองและอาคารสไตล์โรมาเนสก์และเรเนสซองส์จำนวนมากได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 1997
ประวัติศาสตร์ของเมืองเริ่มต้นจากการตั้งถิ่นฐานของชาวกรีกในศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล ชาวกรีกจากเกาะ Vis ได้ก่อตั้งนิคม Tragurion ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมันซึ่งกำลังขยายไปทั่วแดลเมเชีย (Dalmatia) ในเวลานั้น (บริเวณฝั่งตะวันออกของทะเลเอเดรียติกที่ในประเทศโครเอเชียปัจจุบัน) โทรเกียร์อยู่ภายใต้การปกครองของฮังการีและโครเอเชียในช่วงสองสามศตวรรษถัดไป รวมถึงการปกครองของกษัตริย์โครเอเชีย-ฮังการี (Béla IV of Hungary) ในปี 1242
ในปี 1420 พื้นที่ส่วนใหญ่ของแดลเมเชียกลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิเวเนเชียน (Venetian) จนกระทั่งการล่มสลายของจักรวรรดิในปี 1797 จากนั้นโทรเกียร์ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิออสเตรีย หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งโทรเกียร์เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรเซอร์เบีย โครแอต และ สโลวาเกีย และถูกอิตาลียึดครองในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ในปี 1991 เมืองนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครเอเชียหลังจากการประกาศอิสรภาพ
เมืองเก่าโทรเกียร์มีเสน่ห์ด้วยถนนที่ปูด้วยหินแคบ อาคารหินปูน และทางเดินริมทะเลอันกว้างขวาง ทั้งเมืองเป็นอนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์ที่มีโบสถ์ ป้อมปราการ และพระราชวังจำนวนมาก โบสถ์สไตล์โรมาเนสก์ที่สวยงามเสริมด้วยอาคารยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาและบาโรกที่โดดเด่นตั้งแต่สมัยเวนิส
‘มหาวิหารเซนต์ลอว์เรนซ์’ (Cathedral of St. Lawrence) ซึ่งเริ่มก่อสร้างในปี 1213 ส่วนหลักของวิหารสร้างเสร็จในปี 1250 หอระฆังสร้างขึ้นระหว่างศตวรรษที่ 14 และ 16 และสามารถปีนขึ้นไปเพื่อชมทิวทัศน์อันตระการตาจากด้านบน จะมองเห็นโบสถ์เซนต์จอห์น (Chapel of St John) ซึ่งสร้างขึ้นในปี 1468 และถือเป็นภาพยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาที่ดีที่สุดในดัลเมเชีย
บางส่วนของกำแพงเมืองสร้างขึ้นระหว่างศตวรรษที่ 13 ถึง 14 ปรากฏให้เห็นในปัจจุบันทางฝั่งใต้ของเมือง ตรงกลางกำแพงเมืองคือประตูเมืองซึ่งสร้างขึ้นในปี 1593 พระราชวังวังซิปิโก (The Cipiko Palaces) ตรงข้ามกับอาสนวิหาร เป็นที่ตั้งของตระกูลผู้สูงศักดิ์ของเมืองในศตวรรษที่ 15
Beautiful Small Towns #22 – ‘วิลเลมสตัด’ (Willemstad, Curaçao)
เมืองหลวงและเมืองใหญ่ของคูราเซา ตั้งอยู่บนชายฝั่งทางใต้ของเกาะคูราเซาในทะเลแคริบเบียน ประเทศเนเธอร์แลนด์ เคยเป็นเมืองหลวงของเนเธอร์แลนด์ แอนทิลลีส* (Netherlands Antilles) จนกระทั่งอาณาเขตนั้นถูกยุบในปี 2010
(*เนเธอร์แลนด์ แอนทิลลีส ก่อตั้งขึ้นในปี 1954 ในฐานะรัฐสืบทอดของอาณานิคมดัตช์แห่งกือราเซากับเมืองขึ้น และ ยุบตัวใน ค.ศ. 2010 เกาะในดินแดนทั้งหมดที่เคยอยู่ในเนเธอร์แลนด์แอนทิลลีสยังคงเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรในปัจจุบัน ในประเทศเนเธอร์แลนด์ยังคงเรียกคนที่มาจากอดีตดินแดนนี้ว่า ‘ชาวแอนทิลลีส’)
พื้นที่ประวัติศาสตร์ของวิลเลมสตัดเป็นตัวอย่างของการค้าขายและการตั้งถิ่นฐานในอาณานิคม ก่อตั้งขึ้นโดยชาวดัตช์บนเกาะคูราเซาซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของแคริบเบียน เริ่มต้นด้วยการก่อสร้างป้อมปราการอัมสเตอร์ดัม (Fort Amsterdam) ในปี 1634 บนฝั่งตะวันออกของอ่าว Sint Anna เมืองนี้พัฒนาอย่างต่อเนื่องตลอดหลายศตวรรษต่อมา
วิลเลมสตัด ประกอบด้วยเขตประวัติศาสตร์ที่แตกต่างกันหลายแห่ง ซึ่งสะท้อนถึงยุคต่างๆ ของการวางผังเมืองและการพัฒนาเมืองอาณานิคม เขต ‘ปุนดา’ (Punda) ซึ่งเป็นส่วนที่เก่าแก่ที่สุดของเมือง สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 17 ทางฝั่งตะวันออกของอ่าว Sint Anna ติดกับป้อมปราการอัมสเตอร์ดัม และเป็นเพียงส่วนเดียวของเมืองที่มีระบบป้องกันซึ่งประกอบด้วยกำแพงและเชิงเทิน อีกสามเขตเมืองประวัติศาสตร์คือ Pietermaai, Otrobanda และ Scharloo มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 ป้อม Water Fort และ ป้อม Rif Fort ถูกสร้างขึ้นในช่วงปลายทศวรรษ 1820
สถาปัตยกรรมของวิลเลมสตัดไม่เพียงได้รับอิทธิพลจากแนวคิดอาณานิคมของเนเธอร์แลนด์เท่านั้น แต่ยังได้รับอิทธิพลจากภูมิอากาศแบบเขตร้อนและรูปแบบสถาปัตยกรรมจากเมืองต่างๆ ทั่วภูมิภาคแคริบเบียนด้วย ซึ่งนิคมอุตสาหกรรมดังกล่าวมีส่วนร่วมในการค้าขาย บ้านพักยุคแรกสร้างขึ้นในปุนดาตามการออกแบบเมืองของชาวดัตช์ ในศตวรรษที่ 18
นอกจากนี้ ความแตกต่างทางสังคมและวัฒนธรรมจากชาวแอฟโฟรอเมริกัน ไอบีเรีย และคาริบเบียน มีส่วนทำให้ประเพณีการก่อสร้างและชีวิตทางวัฒนธรรมของเมืองมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ผลที่ได้คือรูปแบบสถาปัตยกรรมยุโรปที่มีการดัดแปลงในระดับภูมิภาคด้วยสีสันที่หลากหลายของแคริบเบียน อาคารที่มีสีสันของวิลเลมสตัดเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่นตั้งแต่ปี 1817
ในปี 1997 เขตประวัติศาสตร์ของวิลเลมสตัดได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก นี่แสดงถึงการยอมรับทั่วโลกถึงคุณค่าอันโดดเด่นของเมืองชั้นในอันเก่าแก่และท่าเรืออันเก่าแก่ของเมือง
Beautiful Small Towns #23 – ‘ลูเนนเบิร์ก’ (Lunenburg, Canada)
เมืองมรดกโลกขององค์การยูเนสโก เขตประวัติศาสตร์แห่งชาติ ผู้ชนะรางวัลชุมชนในเมืองเล็กๆ ที่สวยที่สุดในแคนาดา
ลูเนนเบิร์กที่งดงามตระการตาตั้งอยู่ริมชายฝั่งที่สวยงามทางตอนใต้ของ ‘โนวา สโกเชีย’ (Nova Scotia) ชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของแคนาดา เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของการตั้งถิ่นฐานในอาณานิคมของอังกฤษ ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1753 โดยยังคงรูปแบบเดิมที่เอกลักษณ์ของเมืองได้ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา โดยการรักษาสถาปัตยกรรมไม้ของบ้านเรือน พร้อมตัวอย่างที่โดดเด่นมากมายของสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นที่มีอายุมากกว่า 240 ปี
ริมน้ำที่มีสีสันของลูเนนเบิร์ก ถนนแคบๆ และสถาปัตยกรรมที่มีเสน่ห์ทำให้ได้กลิ่นอายของมรดกการเดินเรือของเมือง ที่นี่ยังคงเป็นท่าเรือที่ใช้งานได้จริง เรือประมงและอู่ต่อเรือตั้งอยู่ริมน้ำ และคนในท้องถิ่นจำนวนมากยังคงอาศัยอยู่ที่นี่ด้วยวิถีทางทะเลแบบดั้งเดิม
อาคารและบ้านเรือนเก่าแก่หลายสิบหลังที่มีอายุนับย้อนไปถึงปี 1760 ได้รับการบำรุงรักษาอย่างสวยงาม และถนนยังคงเป็นไปตามผังเมืองดั้งเดิมของปี 1754 ระดับการอนุรักษ์โดยเฉพาะนี้ทำให้เมืองเก่าของ ลูเนนเบิร์กได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี 1995
Beautiful Small Towns #24 – ‘รากีรา’ (Ráquira, Colombia)
หนึ่งในเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในโคลอมเบีย เป็นที่รู้จักในระดับสากลในด้านสีของงานฝีมือ เมืองเล็กๆ แห่งนี้ ตั้งอยู่ที่ระดับความสูง 2,150 เมตร (7,050 ฟุต) ในภูเขาโบญาก้า ภาคกลางของโคลอมเบีย มีประชากรเพียง 3,400 คน
Ráquira หมายถึง “เมืองหม้อ” ในภาษา Chibcha (“rua” หมายถึงหม้อและ “quira” หมายถึงเมือง) รากีรายังได้รับฉายาว่าเป็นเมืองหลวงของ ‘เครื่องปั้นดินเผา’ ของโคลอมเบียอีกด้วย อาคารและระเบียงที่มีสีสัน การผลิตเครื่องปั้นดินเผาและเซรามิกที่สวยงามซึ่งแสดงให้เห็นลักษณะเฉพาะจะปรากฏชัดตั้งแต่วินาทีที่ผู้มาเยือนมาถึง อาคารบ้านเรือนและร้านค้าสีสันสดใสถ่ายทอดความสุขของผู้อยู่อาศัย เฉดสีที่มีตั้งแต่สีน้ำเงิน แดง เขียว ไปจนถึงขาว และชมพู ไม่เพียงเพราะสีพาสเทลของด้านหน้าอาคารเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะสีสดใสของผ้า เซรามิก และงานหัตถกรรมอื่นๆ
งานหัตถกรรมเป็นแหล่งรายได้หลักในรากีรา ชาวพื้นเมืองใช้ดินเหนียวก่อนการมาถึงของชาวสเปนในดินแดนอเมริกา ความหลากหลายของสีเป็นสิ่งที่ชวนให้นึกถึงรากีรามากที่สุด สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยสีสันด้วยบ้านเรือน ถนน และจตุรัสกลางที่ประดับประดาด้วยชิ้นส่วนที่ทำจากดินเหนียวมากมายนับไม่ถ้วน ความโดดเด่นของงานที่ทำจากดินเหนียว การทอกระเป๋า ตะกร้า ชุดกระโปรง เปล และงานปั้นหม้อดินแบบดั้งเดิมอีกด้วย นอกจากจะสวยงามที่สุดแล้ว 75% ของเศรษฐกิจของเมืองมาจากการขายและส่งออกเครื่องปั้นดินเผา
เมืองเล็ก ๆ แห่งรากีรา ซึ่งอยู่ห่างจากวิลลา เด เลย์วา (Villa de Leyva) ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 25 กม. น่าจะเป็นเมืองที่ตกแต่งอย่างมีสีสันที่สุดในโคลอมเบีย
Beautiful Small Towns # 25 – ‘สติกกิโชลมูร์’ (Stykkisholmur, Iceland)
เมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ทางด้านเหนือของคาบสมุทรสไนล์แฟลซเนส ในไอซ์แลนด์ตะวันตก และอยู่ใกล้กับแหล่งธรรมชาติอันน่าทึ่งมากมาย สองแห่งที่สำคัญที่สุดคือ Mount Kirkjufell และ Snæfellsjökull National Park
ทางด้านใต้ของคาบสมุทรสไนล์แฟลซเนสมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมาย เช่น หน้าผาหินบะซอลต์ ‘ลอนดรังการ์’ ชายหาดสำหรับชมแมวน้ำ ‘Ytri Tunga’ และ ‘ช่องเขาเราด์เฟลด์สกยา’
สติกกิโชลมูร์มีประชากรประมาณ 1200 คน เมืองนี้เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในพื้นที่ และเป็นศูนย์กลางหลักของการบริการและการพาณิชย์ ยังเป็นประตูสู่เกาะ Flatey และฟยอร์ดทางตะวันตกอีกด้วย มีกำหนดการเดินทางโดยเรือข้ามฟากจากท่าเรือทุกวัน
สติกกิโชลมูร์กลายเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญในช่วงกลางศตวรรษที่ 16 ก่อนที่จะมีการผูกขาดการค้าระหว่างเดนมาร์ก-ไอซ์แลนด์ เหตุผลหลักที่เมืองนี้มีความสำคัญในฐานะศูนย์กลางการค้าในสมัยก่อนคือท่าเรือธรรมชาติที่มีสภาพเรือที่ดีเยี่ยม ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ทำมาหากินในอุตสาหกรรมประมง แต่การท่องเที่ยวก็เป็นภาคส่วนสำคัญของการจ้างงานเช่นกัน
ทุกปีตั้งแต่ปี 1994 ในสุดสัปดาห์ที่สามของเดือนสิงหาคม สติกกิชฮอลเมอร์จะจัด ‘วันเดนมาร์ก’ ซึ่งเป็นการเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์และต่อเนื่องระหว่างเมืองและประเทศ นอกจากนี้ยังเป็นเมืองน้องสาวของโคลดิงในเดนมาร์ก
สติกกิโชลมูร์ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่สุดแห่งหนึ่งในไอซ์แลนด์ ผู้อยู่อาศัยในเมืองได้ทำงานอย่างหนักเพื่อสร้างบริการสำหรับนักท่องเที่ยว แต่ก็เป็นสิ่งสำคัญสำหรับพวกเขาในการปกป้องสิ่งแวดล้อมและมรดกทางวัฒนธรรมสำหรับคนรุ่นต่อไป ที่สามารถมองเห็นได้ในใจกลางเมืองที่มีบ้านเรือนที่สวยงามและได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี รวมทั้งพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านในท้องถิ่นซึ่งตั้งอยู่ในบ้านเก่าที่สร้างขึ้นในปี 1828
แม้ว่า ‘ภูเขาเคิร์กจูเฟล’ (Kirkjufell) จะได้รับฉายาว่าเป็นภูเขาที่มีการถ่ายภาพมากที่สุดของไอซ์แลนด์ แต่ฉากที่เป็นตัวแทนของกรีนแลนด์ในภาพยนตร์เรื่อง ‘ชีวิตพิศวงของ วอลเตอร์ มิตตี้’ (The Secret Life of Walter Mitty) ถ่ายทำในสติกกิโชลมูร์ และนวนิยายสงครามชื่อดัง ‘Red Storm Rising’ ที่เขียนโดย Tom Clancy ก็ใช้เมืองนี้เป็นจุดลงจอดของกองทหารอเมริกันที่ปลดปล่อยไอซ์แลนด์จากเงื้อมมือของโซเวียต
Beautiful Small Towns #26 – ‘ไรย์’ (Rye, England)
อังกฤษไม่เคยขาดแคลนเมืองในหนังสือนิทาน จากหมู่บ้านที่งดงามตระการตาของ ‘Cotswolds’ ไปจนถึงเมืองแปลกตาของ ‘Lake District’ แต่ยังมีสถานที่อีกแห่งหนึ่งในประเทศที่มีเสน่ห์และความสวยงามซ่อนอยู่ นั่นคือ ‘ไรย์’ ที่ถือว่าเป็นความลับที่ดีที่สุดของอังกฤษ
ไรย์ตั้งอยู่บนเนินเขาในซัสเซ็กซ์ตะวันออก (East Sussex) ระหว่างเนินเขาเขียวขจีและช่องแคบอังกฤษ นี่คือเมืองยุคกลางที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีที่สุดแห่งหนึ่งในอังกฤษ ป้อมปราการของเมืองมีบทบาทสำคัญในการป้องกันชายฝั่งทางใต้ของอังกฤษ ทุกวันนี้แม่น้ำไม่ได้จอดเรือรบอีกต่อไปแต่เป็นที่ตั้งของกองเรือประมงในท้องถิ่น
หนึ่งพันปีที่แล้ว เมืองเล็กๆ แห่งนี้ถูกล้อมรอบด้วยทะเลเกือบทั้งหมด ทะเลเริ่มถอยห่างจากตัวเมืองเมื่อหลายศตวรรษก่อน แม่น้ำที่คดเคี้ยวกว่าครึ่งไมล์จากไรย์ถึงชายฝั่ง ทำให้แม่น้ำเป็นส่วนหนึ่งของทัศนียภาพอันงดงามที่มองเห็นได้จากจุดชมวิวหลายแห่ง
โรงแรมเมอร์เมดอินน์บนถนนเมอร์เมด ถนนที่สวยที่สุดของไรย์ ที่แก๊งลักลอบขนของในศตวรรษที่ 18 และ 19 ใช้เพื่อเก็บของสะสมที่นี่และในโรงแรม Old Bell Inn เนื่องจากโรงแรมทั้งสองเชื่อมต่อกันด้วยทางเดินลับ
หอคอยโบสถ์เซนต์แมรี (St Mary’s Church) เป็นจุดชมวิวที่ดีที่สุดในการชมหลังคาดินเผาของบ้านครึ่งไม้สไตล์ทิวดอร์และจอร์เจียที่คดเคี้ยวเรียงรายไปตามถนนที่ปูด้วยหิน อาคารเก่าแก่ เครือข่ายอุโมงค์และทางเดินลับ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ลักลอบนำเข้าและโจรกรรมตลอดศตวรรษที่ 18 และ 19 มักดึงดูดทีมงานภาพยนตร์ให้ค้นหาสถานที่ทางประวัติศาสตร์สำหรับการผลิตย้อนยุค
ไรย์เป็นที่ชื่นชอบของกวี ศิลปิน นักเขียน นักดนตรี และคนดังหลายคนทำให้ไรย์เป็นบ้านของพวกเขา ซึ่งเป็นสวรรค์ยุคกลางที่ราชวงศ์มาเยี่ยมเป็นระยะๆ ในปี ค.ศ. 1573 สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่ 1 ทรงพระราชทานสมญานามว่า “ไรย์ รอยัล” หลังจากประทับอยู่สามวัน
ทั้งหมดนี้และอีกมากมายทำให้ไรย์เป็นสถานที่ที่สมบูรณ์แบบ สมกับเป็นสถานที่พักผ่อนในอุดมคติเพื่อการ พักผ่อนระยะสั้นที่ผ่อนคลาย มีโรงแรม เกสต์เฮาส์ ร้านอาหารที่มีเสน่ห์มากมาย ทำให้ไรย์เป็นหนึ่งในเมืองที่สวยที่สุดในอังกฤษ
Beautiful Small Towns # 27 – ‘อูบุด’ (Ubud, Indonesia)
เป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆ ที่ตอนนี้ได้เติบโตขึ้นเป็นชุมชนนานาชาติที่เจริญรุ่งเรือง อุดมไปด้วยศิลปะและศูนย์กลางของงานฝีมือแบบบาหลีรวมถึงการเต้นรำแบบดั้งเดิมและทัศนียภาพอันงดงาม เนื่องจากระดับความสูงที่ 200 เมตรเหนือระดับน้ำ อูบุดจึงมีอุณหภูมิที่เย็นกว่าบริเวณชายฝั่ง
เมืองชนบทดั้งเดิมแห่งนี้เป็นบ้านของราชวงศ์บาหลีและศูนย์ศิลปะที่เฟื่องฟู อูบุดยังเป็นศูนย์รวมงานฝีมือที่เฟื่องฟูอีกด้วย อูบุดมีหมู่บ้านเล็กล้อมรอบ เช่น คัมพวน เปเนสตานัน เปเลียตัน และบาตวน เชี่ยวชาญด้านงานฝีมือและงานแกะสลักไม้ซึ่งมีขายทั่วทั้งเกาะ มีร้านค้าหลายร้อยแห่งที่จำหน่ายของเก่า งานแกะสลักไม้ งานฝีมือ สิ่งทอ ภาพวาด และเครื่องประดับ ตลอดจนพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่ดีที่สุดในประเทศ
อูบุดได้ชื่อว่าเป็นหัวใจทางวัฒนธรรมของบาหลี เป็นที่รู้จักกันว่ามีอายุมากกว่า 1,000 ปี ราชวงศ์เติบโตอย่างแข็งแกร่งในช่วงยุคมาจาปาหิตของบาหลี และในศตวรรษที่ 20 พวกเขาได้รับการต้อนรับจากอาณานิคมดัตช์ ซึ่งแตกต่างจากเมืองอื่นๆ ของบาหลี เป็นผลให้อูบุดถูกทอดทิ้ง
ตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 1920 ครูสอนนาฏศิลป์ ดนตรี และละครที่เก่งที่สุด ถูกนำตัวมายังอูบุดเพื่อสร้างความบันเทิงให้กับกษัตริย์และถ่ายทอดความรู้ของพวกเขาแก่คนในท้องถิ่น
มีการแสดงการเต้นรำอันเป็นเอกลักษณ์มากมาย อย่าง ระบำเลกอง (Legong Dance-รูปแบบการฟ้อนรำที่ประณีตโดดเด่นด้วยการเคลื่อนไหวของนิ้วที่ซับซ้อนและท่าทางที่แสดงออก รวมถึงการแสดงออกทางสีหน้า), ระบำรามายณะ, ระบำบาริส (Baris Dance-เป็นการแสดงเกี่ยวกับการเตรียมตัวออกศึก), ระบำลิง (Kecak) และ ระบำไฟ (Sanghyang-การเต้นรำพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์และดำเนินการเฉพาะในพิธีกรรมทางศาสนาของชาวฮินดูบาหลี)
ศาสนาฮินดูแบบบาหลียังคงแข็งแกร่งในอูบุดมากกว่าที่อื่นในบาหลี พิธีเผาศพหรือการเฉลิมฉลองบางอย่าง ศาสนาฮินดูแบบบาหลีแตกต่างจากอินเดีย และซึมซับจิตวิญญาณของบรรพบุรุษ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากความงามที่ไม่ธรรมดาของภูมิประเทศของบาหลี เช่น นาข้าว ภูเขา หุบเขาแม่น้ำ หมู่บ้าน และวัดโบราณ
Beautiful Small Towns #28 – ‘เซนต์อีฟส์’ (St.Ives, Cornwall, United Kingdom)
‘อัญมณีอันตระการตาที่ประดับในมงกุฎของคอร์นวอลล์’ ท่าเรือประมงที่งดงาม และเมืองชายทะเลได้รับการโหวตให้เป็นจุดหมายปลายทางสำหรับวันหยุดพักผ่อนของครอบครัวที่ดีที่สุดโดยนิตยสาร Coast Magazine
เซนต์อีฟส์ตั้งอยู่บนชายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้อันห่างไกลของอังกฤษ ทางฝั่งตะวันตกสุดของคอร์นวอลล์ ในช่วงยุคกลาง เซนต์อีฟส์เจริญรุ่งเรืองในฐานะท่าเรือประมง ในที่สุดก็กลายเป็นท่าเรือที่สำคัญที่สุดบนชายฝั่งทางเหนือของคอร์นวอลล์ มีเส้นทางเดินสั้นๆ รอบเมืองที่อยู่หลายแห่ง และเส้นทางเซนต์ไมเคิลส์ (St. Michaels Way) ที่เพิ่งเปิดใหม่ซึ่งมีระยะทาง 12 ไมล์ข้ามคาบสมุทรไปยังภูเขาเซนต์ไมเคิล เส้นทางนี้เป็นเส้นทางโบราณที่ผู้แสวงบุญจากไอร์แลนด์และเวลส์ใช้มุ่งหน้าไปยัง Santiago de Compostela ในสเปน
เมืองนี้ตั้งชื่อตาม St.Ia (นักบุญเอียนแห่งคอร์นวอลล์ เป็นผู้เผยแพร่ศาสนาชาวไอริช) ที่กล่าวกันว่าสร้างโบสถ์ที่นี่ในศตวรรษที่ 6
เซนต์อีฟส์ได้รับการยอมรับว่าเป็นรีสอร์ทชายทะเลที่ดีที่สุดของสหราชอาณาจักรตาม British Heritage Magazine เมืองที่มีเสน่ห์แห่งนี้เป็นมากกว่าชายหาดที่สวยงาม ทะเลระยิบระยับ และเสน่ห์แบบเมดิเตอร์เรเนียน นอกจากนี้ยังเป็นถนนแคบๆ สนามหญ้าอันอบอุ่นสบายที่ประดับประดาไปด้วยดอกไม้ อากาศบริสุทธิ์จากทะเล และผู้คนที่มีอัธยาศัยดี
ทางรถไฟเซนต์อีฟส์ เปิดให้บริการในปี 1877 เส้นทางวิ่งระหว่างเซนต์เอิร์ธและเซนต์อีฟส์ ถือได้ว่าเป็นเส้นทางรถไฟที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในสหราชอาณาจักร ทางรถไฟทอดยาวไปตามชายฝั่งซึ่งให้ทัศนียภาพอันตระการตาของอ่าวเซนต์อีฟส์
หลายคนมาถึงที่นี่เพื่อเยี่ยมชมชายหาด ‘Porth Meor’ ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องการเล่นเซิร์ฟที่ยอดเยี่ยมและบ้านเรือนที่เรียงรายตามชายทะเล ชานเมืองเซนต์อีฟส์เป็นเนินเขาค่อนข้างสูง โดยมีพื้นที่สูงชันหลายแห่ง บริเวณท่าเรือ ถนนอันร่มรื่นที่ปูด้วยหินที่แคบและคดเคี้ยว กระท่อมหินแกรนิตสีน้ำผึ้ง แกลเลอรี่ เหมาะสำหรับเดินเที่ยว ตลาด ผับบรรยากาศดี และร้านอาหารที่ยอดเยี่ยมทำให้เซนต์อีฟส์น่าหลงใหล เซนต์อีฟส์ได้รับการพิจารณาอย่างถูกต้องว่าเป็นสถานที่ที่เหมือนแคริบเบียนที่สุดในสหราชอาณาจักร ในขณะเดียวกันก็รักษาจิตวิญญาณของคอร์นิชที่แท้จริงไว้
Beautiful Small Towns #29 – ‘วานากา’ (Wanaka, New Zealand)
หมู่บ้านที่มีชีวิตชีวานี้ตั้งอยู่ติดกับทะเลสาบวานากาซึ่งเป็นทะเลสาบที่ใหญ่เป็นอันดับสี่ของนิวซีแลนด์ และเทือกเขาแอลป์ตอนใต้ของเกาะใต้ที่สวยงาม ทางตะวันตกของโอทาโกที่ดึงดูดผู้มาเยือนจากทั่วทุกมุมโลก
เมืองวานากา เป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ต้องการค้นหาการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างการผจญภัยกลางแจ้งและความหรูหราในร่ม มีร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านค้า และพื้นที่โดยรอบมากมายสำหรับการพักผ่อนและเพลิดเพลินกับทัศนียภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจ มีกิจกรรมผจญภัยมากมาย วานากายังดึงดูดนักปีนเขา นักพายเรือคายัค นักปีนผา นักปั่นจักรยาน และเที่ยวจากทั่วโลกที่ชื่นชมธรรมชาติของพื้นที่และบรรยากาศที่เป็นกันเองที่ผ่อนคลายของเมือง
ความงดงามทางธรรมชาติอันงดงามของภูเขา ทะเลสาบ และป่าไม้ อาหาร และไวน์ชั้นเยี่ยม ทั้งหมดนี้มีฉากหลังเป็น ‘อุทยานแห่งชาติเมาน์แอสไพริง’ (Mt Aspiring National Park) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ ‘เตวาฮิโปว์นามู’ Te Wāhipounamu – พื้นที่มรดกโลกทางตะวันตกเฉียงใต้ของนิวซีแลนด์
อัญมณีแห่งภูมิภาคนี้คือยอดเขาเมาน์แอสไพริง (3,027 เมตร) ซึ่งตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ เป็นดินแดนในฝันของภูเขา ธารน้ำแข็ง หุบเขาแม่น้ำ และทะเลสาบบนเทือกเขาแอลป์ ในอดีต ชาวเมารีเคยเดินผ่านบริเวณนี้ระหว่างทางไปยังทุ่งโปนามูทางชายฝั่งตะวันตก ชาวยุโรปเข้าเยี่ยมชม และสำรวจลักษณะทางภูมิศาสตร์ของพื้นที่ และอพยพผู้ตั้งถิ่นฐานพยายามทำฟาร์มและทำเหมืองในหุบเขา
ที่นี่ยังเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับนักตกปลา ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือนักตกปลามือใหม่ ปลา Rainbow Trout หรือ Brown Trout ที่มีมากมายในทะเลสาบวานากา
Beautiful Small Towns #30 – ‘เทนบีย์’ (Tenby, Wales)
เมืองชายทะเลที่โด่งดังที่สุดในเวลส์ ในด้านความแปลกตาและมีเสน่ห์ ได้รับรางวัล Silver Award สำหรับรีสอร์ทชายฝั่งทะเลที่ดีที่สุดของสหราชอาณาจักรจากรางวัล British Travel ในปี 2016
ถนนที่ปูด้วยหินแคบๆ และบ้านในยุคกลางช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้กับเมือง ชายหาดที่เงียบสงบ และบรรยากาศที่อบอุ่น และบ้านสไตล์วิคตอเรียนที่สวยงาม คนในท้องถิ่นเรียกเทนบีย์ว่าเป็นเมืองชายทะเลที่สวยที่สุดในเวลส์
เมืองดั้งเดิมของเทนบีย์ถูกเรียกว่า ‘Dinbych-y-Pysgod’ ในภาษาเวลส์ที่แปลว่า “เมืองเล็กๆ แห่งปลา” มีการตั้งถิ่นฐานที่นี่ตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 แต่แท้จริงแล้วการรุกรานของนอร์มันทางตอนใต้ของเวลส์ทำให้เมืองเติบโตขึ้นในฐานะท่าเรือและศูนย์กลางการค้าที่สำคัญ เทนบีย์ได้รับการปกป้องโดยป้อมปราการเล็กๆ ซึ่งปัจจุบันคือ ‘Castle Hill’ ชาวนอร์มันสร้างเมืองที่มีป้อมปราการและกำแพงเมืองซึ่งส่วนใหญ่ยังคงล้อมรอบเมืองยุคกลางไว้ด้านหลัง แต่มีเพียงหอคอยเล็กๆ แห่งเดียวเท่านั้นที่หลงเหลืออยู่ภายในกำแพงเมืองเก่า
ระหว่างสมัยจอร์เจียนและวิคตอเรีย เทนบีย์กลายเป็นรีสอร์ทชายทะเลยอดนิยม ถนนสายเก่าที่ปูด้วยหิน บ้านสีพาสเทล ทางเดินเล่นทั้งสองด้านของเมืองเก่าบนเอสพลานาดและนอร์ตันมีส่วนทำให้สถาปัตยกรรมของเมืองดูโดดเด่น มุมมองโปสการ์ดคลาสสิกของท่าเรือเทนบีย์ มาจากถนน ‘The Norton’ ที่ทอดยาวไปตามหน้าผาเหนือชายหาด ‘North Beach’
การพัฒนาพื้นที่ริมทะเลสทางฝั่งตะวันตกนอกกำแพงเมือง ค่อนข้างจำกัด แต่ยังคงรักษาบรรยากาศทั่วไปของเมือง โรงแรมโอ่อ่าริมถนนเอสพลานาดมองเห็นหาด ‘South Beach’ ศูนย์กลางของเทนบีย์ คือถนนสายเล็กๆ แคบๆ คล้ายเขาวงกต ที่ในช่วงฤดุร้อนบาร์และร้านอาหารต่างก็ตั้งที่นั่งกลางแจ้งสำหรับดื่มดำกับแสงแดดอ่อน มีร้านค้าที่น่าสนใจและแปลกตามากมาย เทนบีย์ถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่อนุรักษ์โดยอุทยานแห่งชาติ Pembrokeshire Coast ในปี 1972
Beautiful Small Towns #31 – ‘เทลลูไรด์’ (Telluride, Colorado)
ตั้งอยู่ในหุบเขากล่องในเทือกเขาซานฮวนทางตะวันตกเฉียงใต้ของโคโลราโด
เทลลูไรด์เป็นอัญมณีที่ซ่อนอยู่ในเทือกเขาร็อกกี้ ก่อตั้งขึ้นในฐานะเมืองเหมืองแร่ในช่วงปลายทศวรรษ 1800 เทลลูไรด์มีประวัติศาสตร์อันยาวนานด้วยทิวทัศน์ที่สวยงามซึ่งไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเป็นเมืองที่สวยที่สุดในโคโลราโด การผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมเก่าแก่ โรงแรมระดับโลก สปา และร้านอาหารอิสระทำให้ทุกการเยี่ยมชมประทับใจไม่รู้ลืม
สำหรับบางคน เทลลูไรด์ขึ้นชื่อในเรื่องสกีอัลไพน์ระดับโลก และสำหรับบางคนที่นี่เต็มไปด้วยกิจกรรมทางวัฒนธรรม และกิจกรรมกลางแจ้งที่ไม่รู้จบ แต่แท้จริงแล้วสำหรับทุกคนที่นี่คือเมืองแห่งภูเขาในแถบเทือกเขาร็อกกีที่มีแต่การเฉลิมฉลองด้วยการผจญภัยที่สนุกสนานตลอดทั้งสี่ฤดูกาล ตามที่ The New York Times กล่าวไว้ว่า “เทลลูไรด์ไม่ใช่แค่พื้นที่เล่นสกี แต่เป็นวิถีชีวิต”
เทลลูไรด์ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาที่ล้อมรอบด้วยยอดเขาสูง 13,000 – 14,000 ฟุต เนื่องจากมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ของอเมริกาตะวันตก เทลลูไรด์จึงถูกกำหนดให้เป็นเขตสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งชาติในปี 1964 บ้านสไตล์วิคตอเรียนที่มีสีสัน หน้าร้านและอาคารเก่าแก่ผสมผสานกับร้านบูติก หอศิลป์ ร้านอาหารรสเลิศ และอีกมากมาย
หมู่บ้านบนภูเขาใกล้เคียงตั้งอยู่เหนือเมืองเทลลูไรด์ที่ความสูง 9,500 ฟุต เติมเต็มเมืองเหมืองแร่ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรป เทลลูไรด์และหมู่บ้านบนภูเขาเชื่อมต่อกันด้วยกระเช้ากอนโดลาฟรีซึ่งใช้เวลาเดินทาง 13 นาที ซึ่งเป็นระบบขนส่งสาธารณะฟรีระบบแรกและแห่งเดียวในอเมริกาเหนือ
เมืองเทลลูไรด์เพื่อเล่นสกีและพักค้างคืนในฤดูร้อนการล่องไปตามแม่น้ำซานมิเกลผ่านเมืองด้วยห่วงยาง หรือนักปั่นจักรยาน และนักปีนเขามุ่งหน้าไปในทุกทิศทาง คนในท้องถิ่นและผู้มาเยือนจะเดินไปตามแกลเลอรี่ และร้านค้าต่างๆ หรือนั่งบนม้านั่งริมถนนเพื่อชมความพลุกพล่านของกิจกรรมประจำวัน และเหนือสิ่งอื่นใด ท้องฟ้าสีครามอันน่าทึ่งและยอดเขาที่ไม่มีใครเทียบได้ล้อมรอบทุกมุมมองจากตัวเมืองและหมู่บ้านบนภูเขาแห่งนี้
เทลลูไรด์มีชื่อเสียงในด้านเทศกาลฤดูร้อนมาอย่างยาวนาน แต่เทศกาลดนตรีและภาพยนตร์อันโด่งดังเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของกิจกรรมมากมายที่จัดขึ้นตลอดทั้งปี
Beautiful Small Towns #32 – ‘ไนแอการา ออน เดอะเลค’ (Niagara-on-the-Lake)
หมู่บ้านเล็กๆ อันเก่าแก่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบออนแทรีโอและแม่น้ำไนแองการ่า แสดงถึงเสน่ห์ของเมืองเก่า ตั้งอยู่ห่างจากน้ำตก ‘Horseshoe Fall’ หรือที่รู้จักกันในชื่อ Canadian Falls เป็นน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาน้ำตกทั้งสามที่รวมกันเป็นน้ำตกไนแองการ่าเพียง 20 กิโลเมตร
ไนแอการา ออน เดอะเลคเคยเป็นเมืองหลวงของอาณานิคมของอัปเปอร์แคนาดา และแหล่งประวัติศาสตร์แห่งชาติฟอร์ตจอร์จ (Fort George National Historic Site-ป้อมปราการทางทหารในเมืองไนแอการาออนเดอะเลค รัฐออนแทรีโอ ประเทศแคนาดา ป้อมปราการนี้ถูกใช้โดยกองทัพอังกฤษ กองทหารอาสาสมัครของแคนาดา และกองทัพสหรัฐในช่วงเวลาสั้นๆ ป้อมปราการส่วนใหญ่ถูกทำลายในช่วงสงครามปี 1812)
หมู่บ้านที่ต้องไปเยี่ยมชมแห่งนี้ล้อมรอบด้วยแม่น้ำทั้งสองด้านโดยมีถนนที่มีโครงไม้ล้อมรอบท่ามกลางสวนริมถนนอันเขียวชอุ่ม ย่านเฮอริเทจในไนแอการาออนเดอะเลคสร้างขึ้นสำหรับการเดินเล่น โดยมีร้านบูติกแปลกตา ร้านขายของเก่าที่น่าหลงใหล และร้านอาหารบิสโตรที่น่ารื่นรมย์ หรือแม้กระทั่งรถม้าวินเทจที่คอยให้บริการนักท่องเที่ยว
นอกเหนือจากเมืองเก่าที่แปลกตาแล้ว ยังมีโรงบ่มไวน์ โรงเบียร์ และโรงกลั่นหลายแห่ง โรงละครชอว์เฟสติวัล (Shaw Festival Theatre) ที่มีชื่อเสียง สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ และทิวทัศน์ริมน้ำอันตระการตา การนั่งเรือเจ็ทที่น่าตื่นเต้นในแม่น้ำไนแองการา หรือการปั่นจักรยานอย่างชิวๆ ไปตามเส้นทางที่สวยงามซึ่งทอดยาวไปตามแม่น้ำ
นอกเมือง ชนบทอันบริสุทธิ์แผ่ขยายออกไปด้านล่างที่ลาดชันของหมู่บ้าน ซึ่งเต็มไปด้วยไร่องุ่นที่ชวนให้หลงใหลใน ทิวทัศน์อันน่าทึ่งและประสบการณ์ที่โดดเด่นคือสิ่งที่ทำให้ไนแอการาออนเดอะเลคเป็นสวรรค์อันเงียบสงบสำหรับความรู้สึก ชาวบ้านท้องถิ่นรู้จักที่นี่มานานหลายศตวรรษ ตอนนี้ถึงตาคุณแล้วที่จะสัมผัสหมู่บ้านแห่งนี้
Beautiful Small Towns #33 – ‘กัวตาเป’ (Guatape, Colombia)
เมืองเล็กๆ ตั้งอยู่ในแอนติโอกัว ประเทศโคลอมเบีย เป็นที่รู้จักกันว่าเป็นหนึ่งในเมืองที่มีสีสันและสวยงามที่สุดในประเทศ
ก่อนที่ผู้พิชิตไอบีเรียจะไปถึงพื้นที่แอนติโอกัวในศตวรรษที่สิบหก ดินแดนแห่งนี้เคยเป็นที่อยู่อาศัยของชนเผ่าพื้นเมือง เมืองนี้จึงได้รับการตั้งชื่อตามชื่อหัวหน้าเผ่าที่ชื่อ “กัวตาเป”
กัวตาเปก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 1811 และมีวิวัฒนาการทางการเมืองและเศรษฐกิจตลอดหลายปีที่ผ่านมา ในตอนต้นเป็นเมืองเกษตรกรรมที่เศรษฐกิจขึ้นอยู่กับกิจกรรมการเกษตร ต่อมาพื้นที่ทั้งหมดถูกน้ำท่วมในปี 1970 เนื่องจากได้มีการสร้างเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำขนาดใหญ่ขึ้น ส่งผลให้มีการย้ายหลายครอบครัวที่อาศัยอยูออกมา
ประโยชน์ที่อาจไม่ได้ตั้งใจของโครงการนี้คือการสร้างมุมมองที่ดี เขื่อนแห่งนี้ได้ช่วยให้หมู่บ้านพัฒนาและสร้างทัศนียภาพที่สวยงามตระการตา และทำให้กัวตาเปกลายเป็นหนึ่งในศูนย์การผลิตไฟฟ้าที่สำคัญที่สุดในประเทศ ป้ายในเมืองเรียกมุมนี้ว่า ‘วิวที่ดีที่สุดในโลก’ แม้จะมันไม่ใช่แต่ก็คุ้มค่าที่จะไปชม
กัวตาเปขึ้นชื่อเรื่องบ้านเรือนที่ทาสีด้วยสีสไตล์โคโลเนียล ตั้งอยู่ใกล้อ่างเก็บน้ำและยังมี Piedra del Peñol เป็นที่รู้จักกันดีในโคลอมเบีย หินขนาดยักษ์นี้สูง 220 เมตร และมีบันไดขึ้นไปด้านบน 650 ขั้น เพื่อให้ผู้เยี่ยมชมสามารถปีนขึ้นไปด้านบนเพื่อให้ได้ภาพถ่ายทิวทัศน์ที่สวยงามที่สุดสำหรับการเดินทาง
ถนน Memory Street ถือเป็นมรดกทางสถาปัตยกรรมและเมืองของกัวตาเป ซึ่งเป็นถนนสายหลักที่เก่าแก่ที่สุดสายหนึ่งที่รายล้อมไปด้วยบ้านที่มีสีสัน จัตุรัสเล็กๆ ที่เรียกว่า “Plaza de los Zocalos” จะพบอาคารที่มีสีสันและร้านค้ามากมายที่จำหน่ายสินค้าหัตถกรรมและของที่ระลึก รวมถึงกาแฟที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคนี้
Beautiful Small Towns #34 – ‘เอเกอร์’ (Eger, Hungary)
หนึ่งในเมืองที่มีชื่อเสียงที่สุดของฮังการี โดดเด่นด้วยไวน์แดงชั้นเลิศ ‘Egri Bikavér’ หรือที่เรียกกันว่า ‘Bull’s Blood’ น้ำพุธรรมชาติบำบัด และอนุสรณ์สถานที่น่าจดจำ
เอเกอร์ก่อตั้งขึ้นในปี 1004 ในช่วงเวลาที่ พระเจ้าอิชต์วานที่ 1 แห่งฮังการี (Stephen I of Hungary) กษัตริย์คริสเตียนคนแรกของฮังการี และกำหนดให้ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาของชาติ เมืองถูกทำลายโดยชาวมองโกลในศตวรรษที่ 13 และมีการสร้างเมืองขึ้นใหม่รอบๆ ป้อมปราการหินแห่งใหม่ในศตวรรษที่ 14 และ 15 หลังจากถูกปกครองโดยพวกเติร์กมาเกือบศตวรรษ เมืองนี้ก็เจริญรุ่งเรืองอีกครั้งโดยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิฮับส์บูร์กในช่วงศตวรรษที่ 18
อัญมณีแห่งนี้อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือใกล้กับพรมแดนของสโลวาเกีย มีสถาปัตยกรรมที่สวยงาม ตรอกซอกซอยที่ปูด้วยหิน จัตุรัสกลางเมืองที่มีชีวิตชีวา เอ็กเกอร์ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมคริสเตียนและตุรกี สถาปัตยกรรมแบบบาโรกและคลาสสิก เมืองนี้มีบรรยากาศยุคกลางที่มีเสน่ห์ โดยมีปราสาทอายุนับพันปี หอคอย โบสถ์ และเนินเขาที่มีไร่องุ่นเป็นฉากหลังที่สวยงาม
Dobo Ter จัตุรัสหลักของเมือง ได้ชื่อว่าเป็น “ไข่มุกบาโรก” แห่งยุโรป มีอาคารสไตล์บาโรกและโบสถ์คาทอลิกตั้งอยู่แต่ละด้านของจัตุรัส กลางจตุรัสประดับด้วยน้ำพุและรูปปั้นของอิสต์วาน โดโบ (István Dobó) เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในฐานะผู้พิทักษ์เอเกอร์ที่นำทัพต่อต้านการรุกรานของพวกออตโตมานในปี 1552
โบสถ์เซนต์แอนโทนีแห่งปาดัว (Church of Anthony of Padua หรือ Church of Minorite) โบสถ์สไตล์บาโรก สร้างขึ้นโดยคณะนักบวชฟรานซิสกัน ในศตวรรษที่ 18 บนพื้นที่ที่เคยเป็นมัสยิดมาก่อนในช่วงที่ออตโตมันยึดครองฮังการี ภายในน่าประทับใจด้วยจิตรกรรมฝาผนังที่สวยงามซึ่งบอกเล่าเรื่องราวชีวิตของนักบุญแอนโธนีผู้อุปถัมภ์ของโบสถ์
การมาเยือนเอเกอร์จะไม่สมบูรณ์หากไม่ได้เที่ยวชมปราสาทเอเกอร์ เป็นจุดศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์ของเมือง จากจตุรัส Dobo Ter เมื่อข้ามแม่น้ำเอเกอร์สายเล็กๆ ตามถนนแคบๆ ที่คดเคี้ยวตลอดทางขึ้นไปบนเนินเขา จะพบกับปราสาทที่เป็นส่วนหนึ่งของป้อมปราการที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 15 และผูกพันกับความกล้าหาญของทหารฮังการีที่เอาชนะกองทัพออตโตมันในปี 1552
Beautiful Small Towns #35 – ‘มาริบอร์’ (Maribor, Slovenia)
เมืองหลวงแห่งวัฒนธรรมแห่งยุโรปในปี 2012 เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองในสโลวีเนีย ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศในภูมิภาคสติเรียในใจกลางประเทศผลิตไวน์สโลวีเนีย ใกล้พรมแดนกับออสเตรีย ฮังการี และโครเอเชีย
มาริบอร์ถูกกล่าวถึงครั้งแรกในปี 1147 และได้รับความสำคัญในยุคกลางเมื่อป้อมปราการถูกสร้างขึ้นที่นี่เพื่อปกป้องเมืองและหุบเขาดราวา (Drava valley) จากการโจมตีของฮังการี เมืองนี้พัฒนาขึ้นใกล้แม่น้ำซึ่งเป็นที่ตั้งของไร่องุ่นซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากชุมชนชาวยิวในท้องถิ่น ในศตวรรษที่ 14 มาริบอร์ถูกล้อมรอบด้วยกำแพงเมืองเพื่อปกป้องเมืองจากการโจมตีของตุรกีและฮังการี ภายใต้การปกครองของฮับส์บูร์ก มาริบอร์เติบโตอย่างรวดเร็วในฐานะศูนย์กลางการค้าที่สำคัญ
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมืองมากกว่าครึ่งถูกทำลายและอนุสาวรีย์สำคัญหลายแห่งหายไป หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 มาริบอร์เป็นส่วนหนึ่งของยูโกสลาเวีย และตั้งแต่ปี 1991 หลังจากการประกาศอิสระภาพเมืองนี้ก็กลับเข้ามาอยู่สโลวีเนียอีกครั้ง
เมืองเล็กๆ ที่แต่เต็มไปด้วยเสน่ห์ ประวัติศาสตร์ โดยตั้งอยู่อย่างน่ามหัศจรรย์ในอ้อมกอดของเทือกเขา Pohorje อันเขียวขจีและเนินเขาที่ปลูกองุ่นที่งดงามราวภาพวาด ถนนที่ปูด้วยหินอันงดงาม จัตุรัสหลักของเมืองเป็นที่ตั้งของศาลาว่าการเมืองซึ่งเดิมเป็นอาคารแบบโกธิกตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 16 และได้สร้างขึ้นใหม่เมื่อราวปี 1565 ในสไตล์เรอเนสซองส์
Grajski Trg เป็นจัตุรัสหลักอีกแห่งหนึ่งในเมือง เป็นย่านที่มีชีวิตชีวามากที่สุดแห่งหนึ่งโดยมีร้านอาหาร ร้านกาแฟมากมายให้เราได้พักผ่อนและเพลิดเพลินกับบรรยากาศของเมือง กลางจัตุรัสมีรูปปั้นของนักบุญฟลอเรียน ซึ่งสร้างขึ้นที่นี่ในศตวรรษที่ 18 เพื่อปกป้องเมืองจากไฟไหม้ ด้านข้างของจตุรัสเป็นที่ตั้งของปราสาทมาริบอร์ (Maribor Castle) ในสไตล์บาโรค สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 15
ถัดจากปราสาทคือจัตุรัสแห่งเสรีภาพ Trg Svobode (‘Freedom Square’) อันเป็นที่ตั้งของประติมากรรมอิสระภาพ (Maribor Liberation Monument) ที่สร้างขึ้นในปี 1975 เพื่อยกย่องผู้ที่ถูกพวกนาซีสังหารในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จากการลุกขึ้นต่อต้านการยึดครองซึ่งมีการจารึกชื่อผู้ที่ถูกประหารชีวิต 667 คน
อย่างไรก็ตาม ความภาคภูมิใจของย่านริมน้ำของมาริบอร์คือไร่องุ่น ซึ่งเป็นเถาองุ่นของที่นี่มีอายุที่เก่าแก่ที่สุดในโลก (Guinness World Records) ซึ่งผลิตองุ่นมากว่า 450 ปี
One World Tour & Travel จัดกรุ๊ปทัวร์ท่องเที่ยวทั่วโลก กรุ๊ปเหมาดูงาน, สัมมนา, ท่องเที่ยวประจำปี คุณภาพดีเยี่ยม
☎️ โทร : 02-448-6338
☎️ สายด่วน : 085-557-3131
📥 inbox : m.me/1worldtour
📥 Line : @oneworldtour มี@ ข้างหน้าด้วยนะคะ