Portugal ในช่วงหลายพันปีที่ผ่านมาดินแดนแห่งนี้ตกเป็นอาณานิคมของหลายชนเผ่า
Portugal ผ่านอารยธรรมที่แตกต่างกันไปอย่างต่อเนื่องทั้งไอบีเรีย เซลต์ ฟีนีเชีย คาร์เทจ กรีก โรมัน และ อารยธรรมมัวร์ หรือ อาหรับ อาณาจักรที่เคยยากจนแห่งนี้ร่ำรวยขึ้นจากการล่าอาณานิคมและเป็นมหาอำนาจแห่งค้าขาย ในศตวรรษที่ 15 โปรตุเกสเป็นผู้นำโลกในการสำรวจเส้นทางทะเลไปยังอินเดีย เจ้าชายแห่งราชวงศ์โปรตุเกสแล่นเรืออ้อมแอฟริกาเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ยุโรป และเป็นผู้ค้นพบบราซิลจนกลายกลายเป็นอาณานิคมที่ร่ำรวยที่สุดของ Portugal
ดินแดนนี้ตั้งอยู่ริมชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกของคาบสมุทรไอบีเรียทางตะวันตกเฉียงใต้ของยุโรปซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีอำนาจสูงสุดของทวีปยุโรป ด้วยความคล้ายคลึงกันทางภูมิศาสตร์และวัฒนธรรมร่วมกับประเทศต่างๆ ทั้งในยุโรปเหนือและเมดิเตอร์เรเนียน มีเทือกเขา Serra da Estrela หรือ “Star Mountain Range” เป็นเทือกเขาที่สูงที่สุดในกลุ่มโปรตุเกส (1,991 เมตร)
เนื่องจากประเทศนี้มีความหลากหลายทางภูมิทัศน์ที่โดดเด่น ชายฝั่งทางตอนเหนือที่หนาวเย็นและเต็มไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ไปจนถึงภูเขาหินที่งดงาม ขณะที่ทางใต้ของประเทศมีความอบอุ่นและอุดมสมบูรณ์ซึ่งอยู่ระหว่างแม่น้ำ Tagus และ Mondego
Portugal เป็นหนึ่งในประเทศในยุโรปที่อบอุ่นที่สุด อุณหภูมิเฉลี่ยรายปีอยู่ที่ประมาณ 15 ° C ทางตอนเหนือ และ 18 ° C ทางตอนใต้ หิมะตกถือเป็นเรื่องปกติในฤดูหนาวในพื้นที่ภูเขาทางตอนเหนือแต่จะละลายอย่างรวดเร็วเมื่อหมดฤดูกาล เหมาะกับนักเดินทางที่ต้องการสัมผัสบรรยากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียนในคาบสมุทรแอตแลนติกแห่งนี้
เวียนา ดู กัชเตลู (Viana do Castelo)
ได้รับการยกย่องให้เป็น ‘เมกกะแห่งสถาปัตยกรรม’ (Mecca of Architecture) เมืองที่อยู่ระหว่างทะเล แม่น้ำ และภูเขาแห่งนี้ ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำลิมา ที่ล้อมรอบด้วยเนินเขาเขียวชอุ่มของเทือกเขา ‘Monte de Santa Luzia’ ทิวทัศน์ที่ตัดกันนี้กับขอบฟ้าและหาดทรายละเอียดริมชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ทำให้ที่นี่คือหนึ่งในเมืองที่สวยที่สุดทางตอนเหนือของ Portugal เมื่อเราเดินไปในตรอกเล็กๆ เข้าสู่ถนนประวัติศาสตร์ของเมืองผ่านแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมแบบมานูเอลไลน์, เรอเนสซองส์ และบาโรก ไม่ว่าเราจะเดินไปตามถนนใดในเมืองเก่าเราจะกลับมาที่ Praça da República ซึ่งเป็นศูนย์กลางของเมืองเสมอ ที่นี่เราจะได้พบกับน้ำพุแบบเรอเนสซองส์ประดับลวดลายแบบมานูเอลไลน์ และอาคาร Misericórdia ในศตวรรษที่ 16 รวมถึง Paços do Concelho ‘ศาลาว่าการเมืองเก่า’ ที่ประดับด้วยซุ้มแบบโกธิกแต่มีลวดลายแบบเรอเนสซองส์ ที่ตั้งอยู่ใกล้กับมหาวิหารแบบโรมาเนสก์ ‘Igreja Matriz’ เป็นอดีตมัสยิดของพวกมัวร์ที่ถูกเปลี่ยนให้เป็นโบสถ์หลังการกอบกู้ประเทศโดยชาวคริสต์ในศตวรรษที่ 13 จากตัวอาคารโบสถ์แบบโรมาเนสก์ผสมผสานระหว่างอาหรับ และโกธิคจนเกิดงานสถาปัตยกรรมที่เคร่งขรึมและงดงาม
บรากา Braga
เมืองที่มีชีวิตชีวาและเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ’ ศูนย์กลางของโปรตุเกสเหนือ สถาปัตยกรรมและภูมิทัศน์ของเมืองทำให้นึกถึงสมัยโบราณได้อย่างชัดเจน ทั้งพระราชวัง โบสถ์ วิหาร และอาคารเก่าแก่มากมาย เมืองที่สง่างามแห่งนี้เต็มไปด้วยตรอกแคบๆ แบบโบราณ พลาซ่าและโบสถ์สไตล์บาโรกที่สวยงาม การตีระฆังอย่างต่อเนื่องเป็นการเตือนความจำของบรากาที่มีต่อโลกแห่งจิตวิญญาณในยุคเก่า ศูนย์กลางประวัติศาสตร์ของเมืองคือพลาซ่าขนาดใหญ่ ภาพที่เห็นได้ชัดเจนคือ ‘มหาวิหารบรากา’ Santa Maria de Braga เป็นมหาวิหารที่เก่าแก่ที่สุดในศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกและเป็นหนึ่งในมหาวิหารที่เก่าแก่ที่สุดบนคาบสมุทรไอบีเรีย เริ่มสร้างขึ้นเมื่อปลายศตวรรษที่ 11 และสร้างขึ้นใหม่ในช่วงศตวรรษที่ 16 เป็นการผสมผสานระหว่างรูปแบบสถาปัตยกรรมที่แตกต่างกันมากโดยผสมผสานลักษณะแบบโกธิค มานูเอลไลน์ และบาร็อค รวมถึงอาคารเก่าแก่หลายแห่ง เราสามารถค้นหาทุกสิ่งที่คุณต้องการได้ที่นี่ทั้งร้านกาแฟที่มีชีวิตชีวาน่าประทับใจ ร้านบูติกและร้านอาหารชั้นเลิศที่ตกแต่งอย่างสวยงาม
เมืองกีมาไรช์ Guimarães
ถือเป็นบ้านเกิดของโปรตุเกส เนื่องจากพระเจ้าอฟอนโซที่ 1 แห่งโปรตุเกส (Afonso Henriques) ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์แรกของโปรตุเกสเกิดที่นี่ นี่คือหนึ่งในเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานที่สุดในโปรตุเกสก่อตั้งขึ้นในศตวรรษที่ 4 และกลายเป็นเมืองหลวงแห่งแรกของโปรตุเกสในศตวรรษที่ 12 ศูนย์ประวัติศาสตร์แห่งนี้เป็นสถานที่ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี
รูปแบบอาคารที่หลากหลายซึ่งแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการเฉพาะของสถาปัตยกรรมโปรตุเกสตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 ถึง 19 ผ่านการใช้วัสดุก่อสร้างแบบดั้งเดิม ศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์อยู่ภายในกำแพงโบราณที่ต่อเนื่องไปยังเมืองตอนบนระหว่างพระราชวังดยุกแห่งบรากังซา ไปจนถึงปราสาทที่อยู่ด้านบน โบสถ์โรมันแห่งเอสมิเกล และสุดท้ายปราสาทซึ่งมีอายุย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 10
เมืองนี้ยังคงมีมรดกทางวัฒนธรรมที่กลมกลืน และได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี ซึ่งเห็นได้ชัดในระเบียงเหล็กและระเบียงหินแกรนิตที่สง่างาม และเสาเฉลียง คฤหาสน์ ซุ้มประตูที่เชื่อมต่อกับถนนแคบๆ แผ่นพื้นปูเรียบตามกาลเวลา ชั่วขณะหนึ่งเราอาจจินตนาการว่าตัวเองอยู่ในสภาพแวดล้อมยุคกลางท่ามกลางบ้านเรือนของขุนนางโบราณ กีมาไรช์ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกและเป็นเมืองหลวงแห่งวัฒนธรรมของยุโรปในปี 2012 ซึ่งเป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่สองรางวัลสำหรับเมืองนี้
อามารังติ (Amarante)
เมืองชนบทในฝันแห่งนี้ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของโปรตุเกส เมืองที่มีเสน่ห์แห่งนี้โดดเด่นด้วยบ้านที่มีระเบียงถนนที่คดเคี้ยวและไร่องุ่นที่รายล้อม อดีตเคยเจริญรุ่งเรืองภายใต้การปกครองของชาวโรมัน มีสะพานโค้งที่โดดเด่นอย่าง สะพานเซนต์กอนซาโล ‘Ponte
São Gonçalo’ สร้างขึ้นโดยชาวโรมันเพื่อเชื่อมเมืองกับบรากา และกิมาไรส์ เป็นจุดที่เกิดการต่อต้านอย่างกล้าหาญของชาวเมืองต่อกองของนโปเลียนที่บุกโปรตุเกสในปี 1809 ต่อมามีการสร้างใหม่สไตล์บาโรกและนีโอคลาสสิกในตอนท้ายของศตวรรษที่ 18
เมื่อเราเดินข้ามสะพานแห่งนี้จะรู้สึกเหมือนถูกส่งตัวย้อนเวลากลับไปในช่วงเวลาแห่งการต่อสู่ จากจุดเริ่มต้นของแต่ละด้านมีแผ่นป้ายที่ระลึกซึ่งยังคงได้ยินเสียงสะท้อนของการต่อสู้กับกองทัพฝรั่งเศสตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา สะพานหินทอดข้ามแม่น้ำ Tâmega ข้างอารามยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาที่มีชื่อเดียวกัน โบสถ์เซนต์กอนซาโล Saint Gonçalo โบสถ์เรอเนสซองส์ หน้าจั่วสไตล์บาโรกอันงดงาม โบสถ์เก่าแก่มีอายุย้อนไปถึงปี 1540 ในโบสถ์ทางด้านซ้ายคุณจะพบหลุมฝังศพของนักบุญกอนซาโล ‘นักบุญวาเลนไทน์แห่งโปรตุเกส’ และมักจะมีคนโสดหลายคนมาแสวงบุญที่นี่โดยหวังว่าจะได้พบกับรักแท้
เมืองแห่งสปา
หลายศตวรรษที่ผ่านมาเมือง ‘ชาเวส’ Chaves ได้ผ่านการต่อสู้จากชาวโรมัน ชาวฝรั่งเศสในช่วงสงครามคาบสมุทร และผู้รุกรานชาวสเปนซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่บ่อน้ำพุร้อนและแหล่งสะสมทองคำในบริเวณใกล้เคียงก็ช่วยสนับสนุนให้ชาวโรมันสร้างฐานที่มั่นแห่งนี้สำคัญได้สำเร็จในปีค.ศ.78
ในขณะที่จักรพรรดิ Vespasiano จักรพรรดิผู้สร้าง โคลอสเซียม Colosseo ตั้งชื่อเมืองว่า Aquae Flaviae หรือเมืองแห่งน้ำพุร้อน ชาเวสตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดของ Portugal ห่างจากสเปนเพียง 10 กิโลเมตร สะพานหินโบราณซึ่งยังคงมีจารึกภาษาละตินที่สร้างขึ้นเมื่อประมาณปีค.ศ.100 แม้ว่าจะได้รับการบูรณซ่อมแซมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่เสาสองต้นที่สร้างโดยจักรพรรดิทราจันยังคงตั้งตระหง่านดังเดิม
ปัจจุบัน ชาเวส เป็นเมืองที่มีชีวิตชีวาซึ่งมีชื่อเสียงในด้านสปา ศูนย์กลางประวัติศาสตร์ และแฮมรมควัน (Presunto) ที่แสนอร่อย เมื่อยืนอยู่บนหอคอยของปราสาทชาเวส Chaves Castle ปราสาทในศตวรรษที่ 14 เราสามารถมองเห็นจัตุรัสยุคกลางของเมือง Praça de Camões ทางด้านทิศใต้เป็นที่ตั้งของโบสถ์ประจำเมืองซึ่งมีประตูทางเข้าสไตล์โรมันอันงดงาม
เมือง วิลลา รีอัล (Vila Real)
เมืองเก่าซึ่งตั้งอยู่ในทะเลแห่งความเงียบสงบในชนบททางตอนเหนือของโปรตุเกสอันเป็นจุดบรรจบกันของแม่น้ำ Corgo และ Cabril ก่อตั้งขึ้นในปี 1272 เป็นศูนย์กลางเกษตรกรรมที่เจริญรุ่งเรืองตั้งอยู่บนที่ราบสูงที่มีภูเขาล้อมรอบ นอกจากนี้ยังเป็นบ้านเกิดของ ดีโอโก้ เคา Diogo Cão ซึ่งเป็นนักเดินเรือคนแรกที่ไปถึงปากแม่น้ำคองโกในปีค.ศ.1482
วิลลา รีอัลเป็นเมืองเล็กๆ ที่หรูหราที่ประดับประดาด้วยบ้านของชนชั้นสูงจำนวนมาก มีอาคารเก่าแก่ที่น่าสนใจหลายแห่ง อย่างโบสถ์ พระราชวัง และอาคารเก่าบางส่วนของเมืองล้อมรอบไปด้วยไร่องุ่นที่ผลิตไวน์แดง
พระราชวังพระราชวังเมเทียส ‘Palacio do Mateus’ ถือเป็นหนึ่งในรูปแบบสไตล์บาร็อคที่ดีที่สุดในยุโรปd ซึ่งใช้เป็นบ้านพักตากอากาศของราชวงศ์โปรตุเกสในช่วงศตวรรษที่ 16 และ 17 ด้วยอาคารสไตล์บาร็อคที่โดดเด่นบันไดลูกกรงที่หรูหราประดับด้วยรูปแกะสลักหินแกรนิตบนชั้นดาดฟ้าและสวนที่มีอุโมงค์ต้นซีดาร์สูงสามสิบห้าเมตรที่น่าประทับใจ การตกแต่งภายในประกอบด้วยเพดานไม้แกะสลักอย่างวิจิตรเฟอร์นิเจอร์ เครื่องเงินเครื่องเคลือบจากหลายยุคสมัยภาพวาดในศตวรรษที่ 17 และ 18
โบสถ์ Igreja de São Pedro โบสถ์ใหญ่สไตล์บาโรกด้วยที่ตกแต่งด้วยกระเบื้องจากศตวรรษที่ 17 เป็นส่วนหนึ่งของศูนย์กลางประวัติศาสตร์ของเมืองที่ควรค่าแก่การเยี่ยมชม
วิลา โด คันด์ Vila do Conde
เมืองชายฝั่งที่ตั้งอยู่ที่ปากแม่น้ำ Ave เมืองเก่าที่เงียบสงบแห่งนี้มีชายหาดและอาคารทันสมัยและวิลล่ายุคเก่าที่เรียงรายในศูนย์กลางเมืองประวัติศาสตร์ของเมืองจึงทำให้วิลา โด คันด์นั้นคุ้มค่าแก่การเยี่ยมชม เมื่อข้ามสะพานเก่าเข้าสู่ตัวเมืองจะสังเกตเห็นอาคารสไตล์บาโรกที่สูงตระหง่านของ Convento de Santa Clara อารามเก่าแก่ก่อตั้งขึ้นในปี 1318 ที่ถูกเปลี่ยนมาเป็นเรือนจำ
นอกเหนือจากอาคารหลักแล้วยังมีโบสถ์สไตล์โกธิคที่สวยงาม กำแพงหินแกรนิตของอารามไม่ได้มีไว้เพื่อความสวยงามเท่านั้น แต่เป็นการป้องกันจากผู้รุกราน ด้านหลังของอารามเป็นท่อระบายน้ำ‘Old Aqueduct’ สมัยศตวรรษที่ 18 ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี ถัดจากคอนแวนต์มุ่งหน้าสู่ใจกลางเมืองไปตามถนนที่ปูด้วยหินแกรนิตคดเคี้ยวไปยังจัตุรัส Praça da República เป็นที่ตั้งของโบสถ์ Igreja Matriz ซึ่งเป็นอาคารหินแกรนิตที่มีการแกะสลักลวดลายของสถาปัตยกรรมแบบมานูเอลไลน์ในศตวรรษที่ 16
จากเมืองเก่าไปยังชายฝั่งบริเวณปากแม่น้ำคือ Nossa Senhora da Guia โบสถ์สีขาวเล็กๆ ที่มีโดมดูธรรมดาๆ แต่มีการตกแต่งประดับประดาเพดานด้วยการปิดทองและมีแท่นบูชาหินอ่อนดูหรูหรา ริมชายหาดจากโบสถ์คือ ‘เซา โจเอา บัปติสตา’ São João Baptista ปราการห้าเหลี่ยมสมัยศตวรรษที่ 17 ที่ดูเหมือนจะโผล่ขึ้นมาจากพื้นทรายเคยทำหน้าที่ปกป้องอู่ต่อเรือและท่าเรือที่ปากแม่น้ำ Ave จากโจรสลัดและผู้รุกราน หลังจากเลิกใช้งานไปหลายปีมีการตัดสินใจเปลี่ยนป้อมปราการให้เป็นโรงแรมหรูในช่วงปี 1980
ปอร์โต Porto
เมืองท่องเที่ยวที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรปที่มีความมั่งคั่งของมรดกทางศิลปะวัฒนธรรม และพอร์ทไวน์ Port Wine อันโด่งดังไปทั่วโลก ในปี 1996 ศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์ของปอร์โตได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลก เมืองนี้สร้างขึ้นบนฝั่งเหนือของแม่น้ำโดรู Douro ที่สูงชันและแผ่กระจายไปยังมหาสมุทรแอตแลนติกทางทิศตะวันตก
จุดที่น่าสนใจส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่เล็กๆ ระหว่างย่าน Ribeira ศูนย์กลางการค้าของเมืองโดยมีเรือใบใหญ่จอดเทียบท่าริมแม่น้ำ และ Avenida dos Aliados ย่านใจกลางเมืองที่โดดเด่นด้วยศาลากลาง (Camara Municipal) ถนนที่ปูด้วยหินขนาบข้างด้วยอาคารสไตล์นีโอคลาสสิกอันหรูหรา ภายในบริเวณนี้ตรอกซอกซอยยุคกลางคล้ายกับเขาวงกต อาคารบ้านเรือนที่ผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมแบบบาโรก และนีโอคลาสสิก ทางตะวันตกของ Ribeira คือ Alfandega อาคารศุลกากรเก่าแก่ของเมือง บริเวณนี้อาจเป็นที่รู้จักกันดีในชื่อ Casa do Infante (หรือ Casa da Alfândega Velha) คฤหาสน์สมัยศตวรรษที่ 14 ที่สวยงามน่าประทับใจ
อาคาร Palácio da Bolsa สำนักงานใหญ่ของสมาคมการค้าปอร์โต ในศตวรรษที่ 19 ที่ผสมผสานสถาปัตยกรรมนีโอคลาสสิค สถาปัตยกรรมแบบทัสคานี และนีโอพาเลเดียนของอังกฤษ ปอร์โตมีเสน่ห์เป็นพิเศษสำหรับทุกคนที่มาเยือนเมืองนี้เป็นครั้งแรกเช่นเดียวกับผู้ที่กลับมาเยี่ยมชมครั้งที่สอง …มีคำกล่าวว่ามีเมืองที่เหลืออยู่ไม่กี่เมืองในยุโรปที่สามารถสร้าง “ความยิ่งใหญ่ที่จางหาย” ในระดับเดียวกับเมืองปอร์โตได้
วีเซอู (Viseu)
เป็นไปไม่ได้ที่จะแยกวีเซอูออกจากประวัติศาสตร์ของประเทศ ด้วยต้นกำเนิดในวัฒนธรรมคาสโตรไอบีเรียในยุคแรก ประวัติศาสตร์ของวีเซอูครอบคลุมหลายพันปี ในช่วงที่โรมันยึดครองไอบีเรีย Viriathus หัวหน้ากลุ่มกบฏของชาว Lusitanians (บรรพบุรุษของโปรตุเกส) ที่นำกำลังต่อต้านทหารโรมันอาศัยอยู่ในวีเซอู
หลังจากการปกครองของ Visigoth เป็นเวลานานวีเซอูถูกยึดครองโดยพวกมัวร์ ในปี 716 วีเซอูกลับสู่การควบคุมของชาวคริสต์ในปี ค.ศ.1058 โดยกษัตริย์เฟอร์ดินานด์ที่ 1 แห่งเลออนได้รับชัยชนะเหนือพวกมัวร์ในปีค.ศ.1123 ที่นี่ยังเป็นบ้านเกิดของ ‘วาสโก เฟอร์นันเดส’ จิตรกรชาวโปรตุเกส ซึ่งเป็นบุคคลในตำนานของศิลปะโปรตุเกสของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาโปรตุเกส มีชื่อเสียงมากในศตวรรษที่ 16
วีเซอูเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยสมบัติทางศิลปะโบสถ์เก่าแก่และวัฒนธรรมที่แข็งแกร่งของงานฝีมือในท้องถิ่น ล้อมรอบไปด้วยพื้นที่เกษตรกรรมอันอุดมสมบูรณ์และทุ่งหญ้าเลี้ยงแกะ บริเวณนี้ยังมีชื่อเสียงในด้านชีสชั้นดีและเป็นศูนย์กลางการผลิตไวน์ Dão ด้วยความที่ไร่องุ่นส่วนใหญ่มีที่มีอายุอย่างน้อยครึ่งศตวรรษการ ผลิตไวน์จึงเป็นประเพณีที่ฝังรากลึกที่นี่
กัวดา (Guarda)
เป็นที่รู้จักในฐานะเมืองที่มีความสูงสูงสุดในโปรตุเกส (ระดับความสูง 1,056 เมตร) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของ Serra da Estrela (ภูเขาที่ใหญ่ที่สุดในโปรตุเกส) กัวดามีบทบาทสำคัญในฐานะป้อมปราการเนื่องจากอยู่ใกล้กับชายแดนสเปน
ปัจจุบันศูนย์กลางประวัติศาสตร์ของกัวดาคือจัตุรัสเมืองเก่าที่มีอาคารร้านค้าสมัยศตวรรษที่ 16 ถนนแคบๆ แผ่กระจายออกไปจากที่นี่มีพระราชวังหินแกรนิต และบ้านเก่าที่มีหน้าต่างสไตล์โกธิคและการ์กอยในชายคา ศูนย์ประวัติศาสตร์ทั้งหมดได้รับการปกป้องด้วยกำแพงเมือง และหอคอยยุคกลางที่เกือบจะสมบูรณ์ ที่คงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน มหาวิหาร Sé da Guarda Guarda นี่คือวิหารที่สูงใหญ่และโอ่อ่ามีลักษณะของป้อมปราการที่มีหอคอยอันยิ่งใหญ่ตั้งตระหง่านเป็นสัญลักษณ์ของการปกป้อง ศรัทธา และ อาณาเขต
หากภายนอกทำให้เราประทับใจด้วยการออกแบบที่ได้รับแรงบันดาลใจและการตกแต่งแบบโกธิกแล้ว การตกแต่งภายในก็น่าแปลกใจสำหรับความสูงของโบสถ์และแท่นบูชาหินแกะสลักขนาดมหึมา ถัดจากกำแพงคือ Judiaria (ย่านชาวยิว) อาคารส่วนใหญ่สร้างขึ้นในยุคกลางโดยรักษาสัญลักษณ์ที่แกะสลักด้วยหินและสถาปัตยกรรมดั้งเดิม
โกอิมบรา (Coimbra)
ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำมอนเดโก เป็นหนึ่งในเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของโปรตุเกส (เคยเป็นชุมชนที่สำคัญในสมัยโรมัน) เป็นเมืองหลวงในยุคกลางของโปรตุเกสมานานกว่าหนึ่งศตวรรษ (ตั้งแต่ปี 1139-1256) ศูนย์กลางประวัติศาสตร์ที่ตั้งซ้อนกันอย่างสูงชันสร้างขึ้นในสมัยของชาวมัวร์ และมีบรรยากาศที่ยอดเยี่ยมมีถนนที่ปูด้วยหินสีเข้มและมหาวิหารขนาดใหญ่ เมืองนี้ได้รวบรวมมรดกทางวัฒนธรรม สถาปัตยกรรมไว้มากมาย และ เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ก่อตั้งขึ้นในปี 1290 ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก
โกอิมบาเป็นเมืองที่มีชีวิตชีวาซึ่งเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ บริเวณริมแม่น้ำ “Baixa” คือย่านใจกลางเมืองซึ่งเป็นย่านการค้าของเมืองที่มีร้านกาแฟร้านขนมร้านอาหารร้านบูติกและร้านค้าอื่นๆ ที่นำไปสู่ Comercio Square ที่มุมหนึ่งของจัตุรัสคือ โบสถ์ Church of São Tiago สมัยศตวรรษที่ 12 แต่ภายในมีการตกแต่งแบบรอกโคโค่ อีกจัตุรัสหนึ่งที่อยู่ใกล้เคียงมีอารามซานตาครูซอันเก่าแก่ซึ่งมีสุสานของกษัตริย์องค์แรกของโปรตุเกส ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1131 ภายในเป็นธรรมาสน์อันหรูหราและสุสานที่วิจิตรบรรจงของกษัตริย์ตลอดจนอารามที่น่าประทับใจในสไตล์มานูเอลไลน์
คาสตีโล บรองโค (Castelo Branco)
ไม่ค่อยมีใครรู้จักประวัติศาสตร์ยุคแรกของ Castelo Branco นอกเหนือจากเอกสารเมื่อปี 1182 ซึ่งกล่าวถึงการบริจาคดินแดนที่เมืองนี้ให้เป็นที่ตั้งปราสาทของอัศวินเทมพลา ‘Knights Templar’ คาสตีโล บรองโคเป็นเมืองหน้าด่านก่อตั้งขึ้นในศตวรรษที่ 13 ห่างจากชายแดนสเปนเพียง 20 กิโลเมตร สงครามเป็นวิถีชีวิตมานานหลายร้อยปีและเมืองนี้ถูกโจมตีซ้ำแล้วซ้ำเล่าในศตวรรษที่ 17 และ 18 คาสตีโล
บรองโค เป็นที่ตั้งของพระราชวัง และ Episcopal Gardens ‘สวนของบิชอป’ ซึ่งสร้างโดยบิชอปแห่งการ์ดา Joao de Mendonca ในศตวรรษ 18 และได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสวนบาร็อคที่สวยงามที่สุดในโปรตุเกส ประดับด้วยน้ำพุและบันไดอันประณีตเป็นที่ตั้งของรูปปั้นหินแกรนิตที่แปลกและน่าอัศจรรย์ ศูนย์กลางประวัติศาสตร์บนถนนเก่าแก่ที่มีขุมทรัพย์ทางสถาปัตยกรรมในรูปทรงของหน้าอาคารโบราณในสไตล์มานูเอลไลน์ เมืองนี้ได้รับการสู้รบบ่อยครั้งในอดีตจนมีอนุสรณ์สถานโบราณไม่กี่แห่งที่หลงเหลืออยู่รวมถึงปราสาท ซึ่งตอนนี้กลายเป็นซากปรักหักพังที่โดดเด่นอยู่บนเนินเขา
หมู่บ้าน มอนซานโต (Monsanto)
คือหมู่บ้านหินแกรนิตที่มีเสน่ห์ ซึ่งดูเหมือนว่าจะงอกขึ้นเองจากไหล่เขา ในปีค.ศ.1938 มีการค้นพบหลักฐานการยึดครองของมนุษย์ย้อนหลังไปถึงยุคหินรวมทั้งเศษซากของการยึดครองของโรมัน วิซิกอธ และมัวร์ มอนซานโตได้รับการขนานนามว่าเป็น ” “เมืองโปรตุเกสในโปรตุเกส” ตั้งแต่นั้นมาหมู่บ้านมอนซานโตก็ได้รับการปกป้องโดยการสร้างกฎระเบียบที่ทำให้หมู่บ้านยังคงรักษาเสน่ห์ของหมู่บ้านแบบคลาสสิกไว้ได้กระท่อมหินแกรนิตท่ามกลางโขดหินขนาดยักษ์ซึ่งหลายแห่งประกอบกันเป็นส่วนหนึ่งของบ้านผนังหรือขั้นบันไดในรูปแบบที่งดงาม ถนนสายเล็ก ๆ กว้างพอสำหรับลา คดเคี้ยวไปตามกระท่อมหินหลังคาสีแดงที่สูงชันในอดีตที่ซ่อนตัวอยู่กับก้อนหินมอส หมู่บ้านมอนซานโตตั้งอยู่บนยอดกเขาที่เรียกว่า Mons Sanctus สูงเกือบ 800 เมตรที่มองเห็นทิวทัศน์ชนบทของโปรตุเกส เมื่อเดินไปตามถนนที่ปูด้วยหินในไม่ช้าก็จะเห็นได้ชัดว่า หมู่บ้านมอนซานโตเป็นดินแดนเล็กๆ ของโปรตุเกสที่ผู้มาเยือนจะต้องประทับใจกับกระท่อมที่สร้างด้วยหินที่เก๋ไก๋กว่าแบบโรมันในยุคกลางหรือมานูเอลไลน์อย่างไม่ต้องสงสัย ก็เพราะนี่คือหนึ่งในสถานที่ที่งดงามที่สุดในคาบสมุทรไอบีเรียนั่นเอง
ไลเรีย (Leiria)
จากเมือง Collippo ของโรมันที่ต่อมาถูกครอบครองโดยพวกมัวร์ในช่วงต้นศตวรรษที่ 8 และหลังจากการยึดคืนในปี 1135 โดยกษัตริย์ Afonso I โบสถ์แบบโรมันถูกสร้างขึ้นซึ่งยังคงหลงเหลืออยู่เช่นเดียวกับปราสาทยุคกลางที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี
เมืองนี้ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำลิส กระจายตัวบนเนินเขา และจากจุดใดจุดหนึ่งคุณสามารถมองเห็นปราสาทที่ยิ่งใหญ่ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขาเหนือย่านประวัติศาสตร์ของเมืองซึ่งเป็นบริเวณถนนที่ปูด้วยหินสวนสวย จัตุรัสเก่าแก่เรียงรายไปด้วยที่อยู่อาศัยสมัยศตวรรษที่ 16 และ 17 บนเนินเขาที่มีป้อมปราการที่สร้างขึ้นตามคำสั่งของกษัตริย์องค์แรกของโปรตุเกส ‘Dom Afonso Henriques’ เมื่อเวลาผ่านไปไลเรียมีความสำคัญมากขึ้นปราสาทก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากป้อมปราการทหารเป็นพระราชวังโดยได้รับการปรับปรุงหลายอย่าง ระเบียงซึ่งน่าจะเป็นส่วนที่มีชื่อเสียงที่สุดของปราสาทไลเรีย
ในศตวรรษที่ 19 การรุกรานของฝรั่งเศสทำให้ป้อมปราการเสียหายอย่างมาก การบูรณะหลายโครงการในเวลาต่อมาปราสาทยังคงรูปลักษณ์ของยุคกลางไว้อย่างมาก ภายในกำแพงเมืองยังมีอาราม Nossa Senhora da Penha ซึ่งสร้างขึ้นโดย King João I ในราวปี 1400 ซึ่งมีความโดดเด่นเป็นพิเศษด้วยพลับพลาสไตล์โกธิคที่สวยงามและตกแต่งด้วยลวดลายแบบมานูเอลไลน์
#Oneworldtour #Leiria #Portugal
Nazaré นาซาเร่
หมู่บ้านโปรตุเกสในตำนานแห่งนี้ตั้งอยู่ริมมหาสมุทรแอตแลนติก ที่นี่คือยอดเขา Everest ของมหาสมุทร! สถานที่ที่น่าตื่นตาตื่นใจอีกแห่งในการสังเกตปรากฏการณ์ธรรมชาติได้ทุกวันเป็นเวลานานทั้งปี
ครั้งหนึ่งนาซาเร่เคยเป็นหมู่บ้านชาวประมงที่เงียบสงบบนชายฝั่งโปรตุเกสซึ่งปัจจุบันกลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักเล่นคลื่นยักษ์ที่กล้าหาญที่สุดในโลก กลิ่นของปลาย่างและเสียงสะท้อนของการโต้คลื่นที่กึกก้องผ่านถนนที่ปูด้วยหินแคบๆ ชายหาดนาซาเร่ โดยเฉพาะบริเวณ Praia do Norte หรือ North Beach คือบ้านของคลื่นที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ประภาคารตั้งอยู่เหนือสุดของหุบเขาใต้น้ำของนาซาเร่ที่มีความลึกประมาณ 5 กม. และความยาว 230 กม. ความหนาวเย็นของมหาสมุทรแอตแลนติกตอนเหนือพุ่งออกมาจากหุบเขาจากความลึกถึง 5,000 เมตรทำให้คลื่นเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในทันทีเมื่อมันเคลื่อนเข้าสู่ชายฝั่ง แล้วคุณล่ะ ต้องการดูคลื่นยักษ์แห่งนาซาเรสหรือไม่ ?
เมืองบาตาลยา Batalha
เมืองเล็กๆ ท่ามกลางเนินเขา เป็นที่ตั้งของวิหารบาตาลยา Batalha Monastery หรือ อารามซานตามาเรียดาวิโตเรียที่สร้างขึ้นเพื่อถวายพระแม่มารี เป็นหนึ่งในอาคารที่งดงามที่สุดในโปรตุเกสและคาบสมุทรไอบีเรีย โครงสร้างสไตล์โกธิคได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดีและได้รับการเสริมสร้างพิเศษในสไตล์มานูเอลไลน์ สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะของโปรตุเกสเหนือชาวคาสตีเลียนในการรบที่อัลจูบาร์โรตา หรือ ‘ยุทธการอัลจูบาร์โรตา’ ในปีค.ศ.1385 ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญในการรวมชาติโปรตุเกส
ทึ่งไปกับงานหินเป็นลวดลายและการออกแบบที่สวยงามสไตล์โกธิคที่จะพาผู้มาเยือนไปยังอีกโลกหนึ่งที่ซึ่งหินอันแข็งแกร่งได้รับการแกะสลักเป็นรูปแบบที่ละเอียดอ่อนราวกับเกล็ดหิมะและยืดหยุ่นได้เหมือนเชือกบิดในรูปแบบสถาปัตยกรรมมานูเอลไลน์ ซุ้มประตูอันหรูหรานำไปสู่ห้องสวดมนต์ที่มีมนต์ขลังและด้านนอกเป็นกลุ่มประติมากรรมของนักบุญ วิหารบาตาลยา ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกเมื่อปี 1983
เมืองอูเร็ม Ourém
ในภูมิภาค Centro บนยอดเขาแรกของเทือกเขา Serra de Aire เมือง Ourém เป็นเมืองที่อยู่ภายใต้การเฝ้าระวังของปราสาทและป้อมปราการ ‘Castle of Ourem’ ที่มีอายุย้อนไปถึงการยึดครองของชาวมัวร์ที่เริ่มขึ้นในศตวรรษที่ 8 จากปราการของชาวมัวร์ ถูกสร้างขึ้นใหม่ในช่วงปีแรกของการปกครองแบบกษัตริย์ของโปรตุเกสในศตวรรษที่ 12 ปราสาทแห่งนี้ถูกปิดล้อมในระหว่างการก่อกบฏโดยเอลิซาเบธแห่งอารากอนพระมารดาของกษัตริย์อาฟอนโซ เฮนริเกส ในช่วงปี 1380 ในปี 1400
ตำนานเล่าว่าชื่อ Ourem ตั้งให้กับเมืองนี้โดยฟาติมาเจ้าหญิงชาวมัวร์ที่ถูกลักพาตัวโดยอัศวินคริสเตียน ‘กอนซาโล เฮอมิงเกส’ อัศวินพาฟาติมาไปยังหมู่บ้านเล็กๆ บนเทือกเขา Serra de Aire เจ้าหญิงตกหลุมรักอัศวินคริสเตียนและตัดสินใจที่และเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์โดยใช้ชื่อว่า Oureana หลังจากแต่งงานเจ้าหญิงได้รับรางวัลเป็นเมืองที่เธอเรียกว่าโอเรม ซึ่งมาจากชื่อของเธอเอง
ในช่วง “รีคองควิสต้า” (Reconquista) หรือ ‘ศึกทวงแผ่นดิน’ ระหว่างชาวคริสต์กับชาวมุสลิม ปราสาททำหน้าที่เป็นหอสังเกตการณ์ที่สำคัญสำหรับฐานที่มั่นของไลเลีย ปราสาทและเจริญรุ่งเรืองในศตวรรษที่ 15 ภายใต้การปกครองของเคานต์อาฟอนโซ (เคานต์ที่ 4 แห่งอูเร็ม) ได้เปลี่ยนป้อมปราการให้กลายเป็นพระราชวังอันหรูหราในสไตล์โกธิคและใช้ชื่อว่า Paço dos Condes (Palace of the Counts) ต่อมาปราสาทและได้รับความเสียหายเพิ่มเติมจากแผ่นดินไหวที่ลิสบอนในปี 1755 และการรุกรานของจักรพรรดินโปเลียน
เมืองฟาติมา Fátima
ครั้งหนึ่งเคยเป็นหมู่บ้านชนบทเล็กๆ ระหว่างลิสบอนและปอร์โต ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของหนึ่งในวิหารทอลิกที่สำคัญที่สุดในโลกที่อุทิศให้กับพระแม่มารี
วันที่ 13 พฤษภาคม 1917 เกิดเหตุการณ์ทางศาสนาซึ่งได้เปลี่ยนประวัติศาสตร์และความสำคัญของเมืองฟาติมาไปตลอดกาล เมื่อเด็กเลี้ยงแกะตัวน้อยสามคน ลูซีอา ซานโตส, ฟรานซิสโก และจาชินทา ได้พบเห็นพระแม่มารีปรากฎกายขึ้น ณ ที่นี่
ในวันที่ 13 ตุลาคม 1917 ผู้คนหลายหมื่นคนได้มารวมตัวกันที่พลาซ่า Cova da Iria เพื่อรอดูอัศจรรย์ตามคำสัญญาที่แม่พระที่ให้ไว้แก่เด็กเลี้ยงแกะทั้งสามว่า “ขอให้เด็กๆ ทั้งสามมาที่แห่งนี้ในเวลาเดียวกันนี้ทุกวันที่ 13 ของทุกเดือน และ ‘ฉันจะกลับมาหา’ …และปรากฏการณ์มหัศจรรย์ก็ปรากฏแก่สายตาของผู้คนหลายหมื่นคน….
วิหารฟาติมายินดีต้อนรับผู้แสวงบุญและนักท่องเที่ยวหลายล้านคนจากทั่วทุกมุมโลก โดยเฉพาะในวันแสวงบุญในเดือนพฤษภาคมและตุลาคม ยิ่งไปกว่านั้นขบวนโคมขนาดใหญ่ในตอนเย็นที่นำโดยพระคาร์ดินัลและบิชอปยังคงน่าประทับใจเป็นพิเศษต่อเหล่าผู้แสวงบุญที่มารวมตัวกันที่พลาซ่า Cova de Iria ซึ่งเป็นสถานที่ซึ่งเชื่อกันว่าพระแม่มารีได้มาปรากฏตัว
รอบๆ พลาซ่ามีร้านค้าและแผงขายสินค้าเกี่ยวกับศาสนาต่างๆ มากมาย ไกลออกไปจากพลาซ่ามีมหาวิหารขนาดใหญ่สร้างขึ้นในสไตล์นีโอคลาสสิกโดยมีหอคอยตรงกลางสูง 65 เมตร การก่อสร้างมหาวิหารเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม ค.ศ.1928 ในมหาวิหารมีสุสานของผู้ที่มีนิมิตรเห็นพระแม่มารี นั่นคือพี่น้องฟรานซิสโก และจาซินตา ที่เสียชีวิตในปี 1919, 1920 ตามลำดับและ ลูซีอา ซานโตสที่เสียชีวิตในปี 2005…
ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ศรัทธาหรือไม่ก็ตาม เรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ก็ยังน่าสนใจน่าค้นหา และยังคงเป็นปริศนาตลอดมาจนถึงปัจจุบัน
เมืองอัลโคบาซา Alcobaca
เมืองเล็ก ๆ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากไลเลียทางตอนกลางของโปรตุเกส เป็นที่ตั้งของอาราม Mosteiro de Alcobaça หรือ อารามอัลโคบาซา อารามในยุคกลางขนาดใหญ่และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก นอกจากอารามซานตาครูซในโกอิมบราแล้วอารามอัลโกบาซายังเป็นหนึ่งในอาคารสไตล์โกธิคแห่งแรกที่สร้างในโปรตุเกส นอกจากเป็นอารามที่ใหญ่ที่สุดในโปรตุเกสแล้วยังมีโดยมีเฉลียงทางเดินสองชั้นที่สวยงามมีอายุตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 ซึ่งใหญ่ที่สุดอีกด้วย เช่นเดียวกับรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบโกธิค อารามยังได้รับการประดับประดาด้วยสถาปัตยกรรมแบบมานูอลไลน์ในภายหลัง
การก่อสร้างเริ่มขึ้นในปี 1153 และเสร็จสิ้นในราวปี 1252 เพื่อระลึกถึงชัยชนะในสงครามต่อต้านคาสตีเลี่ยน และสงครามกับชาวมัวร์ เมื่อ Dom Afonso Henrique กษัตริย์องค์แรกของโปรตุเกสเอาชนะพวกเขาอย่างเด็ดขาดที่ทุ่งหญ้า Santarém ในปี 1147 ซึ่งเป็นชัยชนะที่จะเปลี่ยนเส้นทางของประวัติศาสตร์โปรตุเกสตลอดกาล อารามอัลโคบาซา ยังมีสุสานที่แกะสลักอย่างวิจิตรงดงามของกษัตริย์เปโดรที่ 1 และหญิงสาวอันเป็นที่รักของพระองค์ ที่เป็นสาวใช้ชาวสเปนซึ่งถูกสังหารตามคำสั่งของ พระเจ้าอาฟงซูที่ 4 บิดาของพระองค์เอง ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงเรื่องราวความรักที่ยิ่งใหญ่เรื่องหนึ่งของโปรตุเกส นอกจากนี้ที่นี่ยังมีสุสานของกษัตริย์อาฟอนโซที่ 2 กษัตริย์อาฟอนโซที่ 3 และราชินีถูกฝังไว้ที่นี่ด้วย
อารามอัลโคบาซา ได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหวในปี 1755 และอีกครั้งโดยกองทหารฝรั่งเศสในช่วงสงครามนโปเลียนในต้นศตวรรษที่ 19
โตมาร์ Tomar
เมืองที่มีเสน่ห์และเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ ตั้งอยู่ใจกลางประเทศล้อมรอบไปด้วยป่าไม้ทุ่งนาและเมืองชนบทที่มีเสน่ห์อื่นๆ แม้ว่าจะเป็นเมืองที่เงียบสงบเมื่อมองแวบแรก แต่ก็มีเสน่ห์อย่างมาก ทั้งความมั่งคั่งทางศิลปะและวัฒนธรรมและวิหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดซึ่งเป็นหนึ่งในผลงานหลักของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาโปรตุเกส ในอดีตโตมาร์เคยเป็นที่ตั้งของวิหารของอัศวินเทมพลาร์ ที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 12 (Order of the Knights Templar)
จำคำสั่งทางทหารทางศาสนาที่กล่าวถึงในภาพยนต์เรื่อง Da Vinci Code ‘รหัสลับระทึกโลก’ ได้ไหม แฟนๆ ของ Dan Brown และผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ของเหล่าอัศวินเทมพลาร์ สามารถเพิ่มความสนุกได้ด้วยการค้นหาความลับของอัศวินเหล่านี้เมื่อได้ไปเยือนโตมาร์
ที่นี่ยังมีท่องส่งน้ำแต่ศตวรรษที่ 17 มีความยาว 6 กิโลเมตรที่สร้างขึ้นเพื่อส่งน้ำไปยัง วิหารแห่งอัศวินเทมพลาร์ประกอบด้วยโค้งสองระดับเป็นท่อระบายน้ำที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในโปรตุเกส
ในขณะที่ยืนอยู่กลางจัตุรัสกลางเมืองคุณจะต้องหมุนตัวช้าๆ และถ่ายภาพทุกมุมรวมถึงทางเท้าที่ปูกระเบื้องอย่างสวยงาม ต่อไปก็ถึงเวลาเดินขึ้นเนินไปไม่ไกล ปราสาทโตมาร์และวิหารแห่งพระคริสต์เป็นอัญมณีที่ดึงดูดความสนใจของผู้มาเยือน อาคารในยุคกลางเหล่านี้สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 12 โดยผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมโปรตุเกสแบบมานูเอลไลน์ กับโกธิค เรอเนสซองซ์ บาร็อค และสไตล์อื่นๆ
โตมาร์ เป็นเมืองที่สวยงามโดดเด่นด้วยทางเดินที่ปูด้วยหินแคบ ๆ จัตุรัสกระเบื้องโมเสคและวิถีชีวิตแบบสบายๆ ที่มักพบในโปรตุเกส เป็นเรื่องง่ายที่จะรู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปในขณะที่เยี่ยมชมเมืองโบราณแห่งนี้ เหนือสิ่งอื่นใดชาวบ้านที่เป็นมิตรยินดีที่จะแบ่งปันวัฒนธรรมและเรื่องราวของตนกับผู้มาเยือนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงมื้อค่ำที่เต็มไปด้วยอาหารและไวน์รสเลิศ
มาฟรา (Mafra)
คำว่า ‘มหึมา’ และ “กว้างใหญ่” ไม่สามารถอธิบายขนาดของพระราชวังสไตล์บาโรกของเมืองมาฟราได้ National Palace of Mafra ขึ้นชื่อว่าเป็นพระราชวังแห่งชาติ ซึ่งพระเจ้าฌูเอาที่ 5 แห่งโปรตุเกส เริ่มก่อสร้างในปี 1717 เพื่อปฏิบัติตามคำปฏิญาณที่เขาทำไว้หากพระเจ้ามอบรัชทายาทให้เขา แต่น่าเศร้าที่เจ้าชายน้อยเสียชีวิตตอนอายุสองขวบ อย่างไรก็ตามการก่อสร้างยังคงดำเนินต่อไปและอาคารขนาดใหญ่ก็เสร็จสมบูรณ์ในปี 1735
พระองค์ได้สร้างมรดกที่ยั่งยืนให้กับราชวงศ์จนถึงปี 1910 เมื่อกษัตริย์มานูเอลที่ 2 กษัตริย์องค์สุดท้ายของโปรตุเกสและพระราชมารดาใช้เวลาคืนสุดท้ายในพระราชวังก่อนที่จะหลบหนีไปอังกฤษในเช้าวันรุ่งขึ้น ซึ่งเป็นการเดินทางที่ปิดผนึกชะตากรรมของสถาบันกษัตริย์ที่ยาวนานเกือบแปดร้อยปี
โครงสร้างแบบบาร็อคและนีโอคลาสสิกที่หรูหรา ออกแบบโดยสถาปนิกชาวเยอรมัน Johann Friedrich Ludwig มีห้อง 880 ห้อง ประตูและหน้าต่าง 4,500 บาน และมีห้องสมุดสไตล์โรโคโคที่สวยงามซึ่งมีความยาว 88 เมตร เป็นหนึ่งให้องสมุดที่ดีที่สุดในยุโรป ตกแต่งด้วยหินอ่อนล้ำค่าและเก็บรักษาหนังสือเก่าแก่กว่า 40,000 เล่ม
มหาวิหารหินอ่อนขนาดใหญ่ของพระราชวังซึ่งมีการออกแบบสไตล์บาร็อค นีโอคลาสสิกของอิตาลีที่จำลองแบบมาจากเซนต์ปีเตอร์ในกรุงโรม ประดับประดาอย่างหรูหราด้วยรูปปั้นภาพนูนต่ำ และศิลปวัตถุอื่นๆ มีรูปแกะสลักของศิลปิน Machado de Castro ในศตวรรษที่ 16 ยังมีความโดดเด่นอย่างยิ่งในเรื่องคุณภาพของหินอ่อนสีชมพูและสีเทา และมีโดมที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งกลายเป็นศูนย์กลางที่สง่างามของเมืองมาฟรา
ซินตรา (Sintra)
ไม่ได้เป็นเพียงหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโปรตุเกสเท่านั้น แต่เป็นซินตราเป็นอัญมณีที่เลอค่าของยุโรปอย่างแท้จริง ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นเมืองหลวงของประเทศ สภาพทางภูมิศาสตร์ที่แปลกตาตั้งอยู่บนเนินเขาที่ทอดยาวล้อมรอบทุกด้านทั้งที่ราบปากแม่น้ำหรือมหาสมุทรซึ่งพระราชวังหรูหราได้ซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้สูง
ในศตวรรษที่ 19 ซินตรากลายเป็นศูนย์กลางแห่งแรกของสถาปัตยกรรมโรแมนติกของยุโรป กษัตริย์เฟอร์ดินานด์ที่ 2 ได้เปลี่ยนอารามที่ปรักหักพังให้กลายเป็นปราสาทซึ่งมีการใช้องค์ประกอบแบบเรอเนสซองส์ บาโร๊ค มัวร์ โกธิค และมานูเอลไลน์
“Palacio da Pena” เป็นพระราชวังที่หรูหราแต่ค่อนข้างทันสมัย เมื่อมองจากด้านนอกชวนให้นึกถึงปราสาทดิสนีย์ ด้วยหอคอยกับโดมสีชมพูและสีเหลืองที่มีระเบียงเชื่อมซึ่งเมื่อการเดินผ่านทางระเบียงนี้ทำให้ความรู้สึกเหมือนก้าวผ่านเข้าไปในเทพนิยาย นอกจากนี้บนเนินเขาสูงยังมีซากของปราสาทมัวร์ที่มีอายุตั้งแต่ศตวรรษที่ 8
พระราชวังซินทรา Palácio Nacional de Sintra ตั้งอยู่ตรงกลางและเป็นสถานที่สำคัญที่มีปล่องไฟสีขาวขนาดมหึมาสองปล่องเป็นพระราชวังที่ใช้งานได้จนถึงต้นทศวรรษ 1900 เดิมสร้างขึ้นภายใต้การปกครองของชาวมัวร์สำหรับสุลต่านที่ใช้เวลาช่วงฤดูร้อน พระราชวังได้รับการออกแบบใหม่และเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง สถาปัตยกรรมส่วนใหญ่จะเป็นแบบมานูเอลไลน์และโกธิคเป็น แต่สไตล์อาหรับดั้งเดิมยังคงมีอยู่ในบางส่วนของอาคาร
ซินตราถ่ายทอดกลิ่นอายโรแมนติกที่ทิ้งความประทับใจลึกๆ ไว้ในจิตวิญญาณและผลงานของนักเขียนในศตวรรษที่สิบแปด อย่างฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์สันพบแรงบันดาลใจที่นี่ โดยอธิบายว่าซินตราเป็น “สถานที่ที่สวยงามที่สุดในโปรตุเกส” และช่วงเวลาที่ลอร์ดไบรอนอยู่ที่นี่ได้ตั้งชื่อที่นี่ว่า “สวนเอเดนอันรุ่งโรจน์”
ในปี 1995 คณะกรรมการมรดกโลกได้ยกย่องให้ซินตราเป็นตัวอย่างเฉพาะของสถานที่ซึ่งยังคงรักษาลักษณะสำคัญของวัฒนธรรมที่สืบต่อกันมาจากผู้ครอบครองดินแดนเหล่านี้และยังคงอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืนในปัจจุบัน
โคลาเรซ (Colares)
ที่เชิงภูเขาซินตราและใกล้ชายฝั่งทะเล มีหมู่บ้านเล็กสีขาว ที่น่ารื่นรมย์ และยังเป็นรีสอร์ทในช่วงฤดูร้อนที่ได้รับความนิยมมายาวนาน ที่นี่มีความงามตามธรรมชาติอันเงียบสงบที่ไม่มีใครแตะต้องที่ซ่อนตัวอยู่ที่ด้านล่างของเนินเขาสูงชันบนชายฝั่งตะวันตกของโปรตุเกสใกล้กับแหลม Cabo da Roca
โคลาเรซยังเป็นพื้นที่ปลูกไวน์โดยผลิตไวน์โคลาเรซที่ได้รับความนิยมและหายากมากขึ้นเรื่อยๆ สภาพแวดล้อมของโคลาเรซที่มีชายหาด Praia das Maças, Praia Grande และ Adraga และ Azenhas do Mar หมู่บ้านสีขาวตั้งอยู่ริมหน้าผา อย่าคาดหวังที่จะพบสิ่งอำนวยความสะดวกและร้านขายของที่ระลึกที่ชายหาดแห่งนี้ ด้านล่างของเนินเขามีเพียงชายหาดที่เงียบสงบ
เราเพียงแค่นั่งพักผ่อนและดื่มด่ำกับความรุ่งโรจน์ของการค้นพบจุดที่น่าทึ่งที่จะทำให้เราเพลิดเพลินไปกับการชมพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า…
วิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งเพนินฮา (Sanctuary of Peninha)
หรือที่เรียกว่า Chapel of Our Lady of Penha ตั้งอยู่ทางตะวันตกสุดของภูเขา Sintra ที่ระดับความสูง 488 เมตร บนยอดเขาในอุทยานแห่งชาติ Sintra-Cascais
วิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งเพนินฮาตั้งอยู่บนยอดโขดหินซึ่งมองเห็นทิวทัศน์ของชายฝั่งทะเลและมหาสมุทรแอตแลนติก นอกจากโบสถ์สไตล์บาโรกแล้ว ยังมีพระราชวังเพนินฮา ซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1710
วิหารศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่ในกลุ่มสถาปัตยกรรมที่ประกอบด้วยโบสถ์เล็กๆ Sao Saturnino รวมถึงอารามของนักบวช ซึ่งสร้างขึ้นในช่วงเวลาของการก่อตั้งอาณาจักรโปรตุเกส แต่ปัจจุบันถูกทิ้งร้าง โดยพระราชวังขนาดเล็กยุคฟื้นฟูโรแมนติกซึ่งมีลักษณะคล้ายกับป้อมปราการที่สร้างขึ้นในปี 1918
วิหารนี้สร้างขึ้นโดยการอุทิศตนที่เป็นที่นิยมตามตำนานที่มีรากฐานมาจากศตวรรษที่ 16 หลังจากการปรากฏตัวของพระแม่มารีย์ไปจนถึงคนเลี้ยงแกะ Amoinhas Velhas ที่เป็นใบ้และน่าสงสาร จากนั้นไม่นานสถานที่แห่งนี้ก็เป็นที่เคารพสักการะของผู้คนในบริเวณโดยรอบ
โปรตุเกส Portugal ?? #26 แหลมโรกา (Cabo da Roca)
จุดที่อยู่ทางตะวันตกที่สุดของยุโรปแผ่นดินยุโรป ล้อมรอบไปด้วยธรรมชาติอันเงียบสงบจากเมืองใหญ่ ณ ที่นี่เราสามารถมองเห็นทิวทัศน์มุมกว้างของ เทือกเขา Serra de Sintra และเป็นเวลาหลายศตวรรษที่ทวีปได้สิ้นสุดลงที่นี่
ทิวทัศน์อันน่าทึ่งจากหน้าผาหินแกรนิตสูง 500 ฟุต ท้องนภาสีฟ้าสดใสที่เปิดกว้างและคลื่นซัดกระหน่ำของมหาสมุทรแอตแลนติกที่ดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด ไม่น่าแปลกใจที่เคยคิดว่าสถานที่แห่งนี้อยู่สุดขอบโลก ในสายลมพัดแรงเราจะพบเห็นนกอพยพและนกทะเลหลากหลายชนิเกาะอยู่ท่ามกลางหน้าผาและโขดหินที่อยู่นอกชายฝั่ง
ตามตำนานโบราณซากปรักหักพังที่อยู่ใกล้เคียงของป้อม Espinhaço เป็นจุดที่ตั้งของศาลสมัยโบราณซึ่งโยนผู้ที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดไปที่หน้าผาและลงสู่ทะเล
ประภาคารซึ่งเปิดตัวในปี 1772 ตั้งตระหง่านเป็นหนึ่งในอาคารที่เก่าแก่ที่สุดในโลก นักเดินทางต่างแห่กันมาที่นี่เพื่อชื่นชมกับแสงสุดท้ายของวันที่งดงาม ทำให้นึกถึงคำพูดของกวีชื่อดังของโปรตุเกส ‘Luís Vaz de Camões’ ซึ่งอธิบายถึงแหลมโรกา ว่าเป็นที่ซึ่ง ‘แผ่นดินสิ้นสุด และทะเลเริ่มต้น’
คัสไคซ์ (Cascais)
เมืองชายฝั่งที่ห่างไกลจากความวุ่นวายของเมืองหลวงปากแม่น้ำทาโฮ ‘Tejo’ หรือที่ชาวโรมันเรียกว่าแม่น้ำทากัส ‘Tagus’ ระหว่างภูเขาซินตราและมหาสมุทรแอตแลนติก หมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ แห่งนี้ได้เติบโตขึ้นในศตวรรษที่ผ่านมาจนกลายเป็นเมืองชายหาดที่สง่างามอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ป้อมปราการ Cidadela ซึ่งเป็นป้อมปราการที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 15 เพื่อป้องกันผู้รุกรานจากสเปน มันมีบทบาทที่แตกต่างออกไปในอีก 400 ปีต่อมา เมื่อกษัตริย์หลุยส์ที่ 1 แห่งสภาปกครองบราแกนซาใช้ป้อมปราการแห่งนี้เป็นที่ประทับในช่วงฤดูร้อนของราชวงศ์
Boca do Inferno หรือ “Mouth of Hell” ตั้งอยู่บนขอบตะวันตกของคัสไคซ์ใกล้กับประภาคาร Santa Marta โขดหินริมมหาสมุทรที่เชื่อกันว่าในอดีตสถานที่แห่งนี้เคยเป็นถ้ำที่กาลเวลาและความแรงของทะเลสิ้นสุดลงและทำให้เกิดรูปทรงเป็นหลุมเปิดซึ่งมีซุ้มโค้งที่น้ำทะเลไหลเข้ามา
ไม่เพียงแต่ความสวยงามของอ่าวและชายหาดที่ดึงดูดใจคนในท้องถิ่นและผู้มาเยือน ทางเดินที่ปูด้วยกระเบื้องโมเสคที่มีต้นปาล์มประดับทั่วทั้งเมือง หาดทรายสีทองระยิบระยับและน้ำทะเลสีฟ้าสดใสเป็นจุดที่เหมาะสำหรับการนอนอาบแดดในช่วงวันหยุดที่คัสไคซ์ ซึ่งได้รับการขนานนามว่า “โปรตุเกสริเวียร่า”
เอสโตริล Estoril
หนึ่งในไข่มุกของโปรตุเกสริเวียร่าคือเมืองรีสอร์ทหรู ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกของลิสบอน นี่เป็นเมืองตากอากาศที่มีชื่อเสียงบนชายฝั่งริเวียร่าของโปรตุเกสมานาน มีร้านกาแฟและร้านอาหารตั้งเรียงรายริมชายหาด Praia de Tamariz หาดทรายสีทองทอดยาวที่มีทางเดินริมทะเลไปทางทิศตะวันตกไปจนถึงคัสไคซ์ ทางด้านตะวันออกของชายหาดมีป้อม Forte da Cruz ที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 17 เพื่อป้องกันแนวชายฝั่งโดยเริ่มต้นที่ชายหาดอาบาโนและทอดยาวไปจนถึงชายหาดเมืองคัสไคซ์
เอสโตริลเป็นใจกลางของริเวียร่าโปรตุเกสซึ่งเป็นภูมิภาคเต็มไปด้วยเรื่องราวของกษัตริย์ที่ถูกเนรเทศในศตวรรษที่ 20 การสอดแนมในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 การเจรจาที่เป็นความลับเหล่านี้เกิดขึ้นในคาสิโนที่ใหญ่ที่สุดของคาบสมุทรไอบีเรียและนั่นคือจุดที่ผู้เขียน Ian Fleming ได้รับแนวคิดสำหรับตัวละครอย่างเจมส์บอนด์ ‘James Bond’
ถึงแม้เอสโตริลเป็นเมืองเก่าที่มีเสน่ห์แต่ก็ยังคงเป็นเมืองที่มีความเป็นสากล ด้วยถนนที่เรียงรายไปด้วยต้นปาล์มคฤหาสน์ของชนชั้นสูง สนามกอล์ฟระดับโลก และชายหาดที่ดึงดูดคนในท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวตลอดทั้งปี
ลิสบอน Lisbon
เป็นเมืองหลวงที่เก่าแก่เป็นอันดับสองของยุโรป (รองจากเอเธนส์) ครั้งหนึ่งเคยเป็นจุดเริ่มต้นของนักสำรวจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก เช่น วาสโกดากามา, แมกเจลแลน และเจ้าชายเฮนรี ทำให้ลิสบอนกลายเป็นเมืองแห่งแรกของโลกที่แผ่ขยายไปดินแดนทั่วทุกทวีป – จากอเมริกาใต้ (บราซิล) ไปยังเอเชีย (มาเก๊า จีน และอินเดีย)
ลิสบอนมีท่าเรือธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกซึ่งดึงดูดอารยธรรมที่แตกต่างกันซึ่งสะท้อนให้เห็นในสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมที่ระลึกถึงชาวฟินีเซียน ชาวเซลต์ ชาวโรมัน ชาววิซิกอธ และชาวมัวร์
ลิสบอนเป็นเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยอารมณ์น่าหลงใหลและงดงามที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรปสร้างขึ้นบนเนินเขาที่มีทิวทัศน์สวยงามจากทุกมุมมอง ทำให้ผู้มาเยือนรำลึกถึงความเสื่อมโทรมอันแสนโรแมนติกของเวนิส ความแปลกใหม่ของเมืองเนเปิลส์ หรืออิสตันบูล ความผ่อนคลายของกรุงโรม เสียงสะท้อนของซานฟรานซิสโก และจิตวิญญาณของชาวไอบีเรีย
ย่านประวัติศาสตร์ไบซา Baixa เป็นใจกลางเมืองหลวงที่อยู่อาศัยของหน่วยงานบริหาร ธนาคาร และสำนักงานธุรกิจหลายแห่งของประเทศ เป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมแห่งแรกของยุโรปในการออกแบบอาคารสไตล์นีโอคลาสสิกและการวางผังเมือง ถนนที่ปูด้วยหินที่สวยงาม ย่าน Alfama ซึ่งเริ่มจากกำแพงปราสาทไปจนถึงริมฝั่งแม่น้ำเทกัส เป็นส่วนที่เก่าแก่ที่สุดของลิสบอน และภาพย้อนเวลาอันมีเสน่ห์ด้วยรถรางวินเทจและย่านที่เหมือนหมู่บ้านในยุคกลาง
แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปี 1755 ได้ทำลายอาคารขนาดใหญ่ส่วนใหญ่ของเมือง 20 กว่าปีของการสร้างเมืองขึ้นมาใหม่นำไปสู่พระราชวังและโบสถ์สวยงามมากมาย รวมถึงลายตารางบนถนนที่ทอดข้ามเนินเขาทั้งเจ็ดของลิสบอน อาคารหลายหลังในยุคทองของโปรตุเกสรอดพ้นจากแผ่นดินไหว โดยเฉพาะหอคอเบเล็ม Torre de Belém, ปราสาทเซนต์จอร์จ Castelo de São Jorge และ วิหารเจอโรนีโม Monastery of Jerónimos
โอบิโดส Óbidos
มาจากภาษาละตินว่า Oppidum ซึ่งหมายถึง ‘ป้อมปราการ’ หรือ ‘เมืองที่มีป้อมปราการ’ เป็นหมู่บ้านในยุคกลางที่โรแมนติกที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรป ที่รู้จักกันในชื่อ ‘Wedding Present Town’ เนื่องจากเมืองนี้เป็น ของขวัญจากกษัตริย์เดนิสแห่งโปรตุเกสให้กับราชินีอิซาเบล ในวันแต่งงานในปี 1282
หลังจากอาณาจักรโรมันล่มสลายชาวมัวร์ก็เข้ายึดครองพื้นที่ ในปี 1148 พระเจ้าอาฟงซูที่ 1 แห่งโปรตุเกส อ้างสิทธิ์เหนือเมืองโอบิโดส และภายใต้การปกครองของโปรตุเกสเมืองนี้เจริญรุ่งเรืองในฐานะเมืองท่าการค้าเนื่องจากตั้งอยู่ใกล้กับมหาสมุทรแอตแลนติก
น่าเสียดายที่เมื่อถึงศตวรรษที่ 16 แม่น้ำเริ่มตื้นเขินและไม่สามารถใช้ท่าเรือได้อีกต่อไป ถึงกระนั้นเมืองนี้ยังคงเป็นที่ชื่นชอบของราชวงศ์พร้อมๆ กับเมืองซินทรา หลังจากแผ่นดินไหวในปี 1755 และสงครามคาบสมุทรในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ทำให้เกิดความเสียหายอย่างหนัก ศูนย์กลางประวัติศาสตร์ของเมืองได้รับการบูรณะแต่ไม่เคยสูญเสียเสน่ห์ของเมืองยุคกลาง
‘Porta de Vila’ คือประตูหลักสู่ใจกลางเมือง ประดับด้วยกระเบื้องสมัยศตวรรษที่ 18 ที่ซับซ้อนเป็นลวดลายซึ่งแสดงถึงความหลงใหลของพระคริสต์ ถนนแคบๆ ที่ปูด้วยหิน และอาคารบ้านเรือนสีขาวที่มีการตกแต่งทาสีขาวทั่วทั้งเมือง
ภายในกำแพงเมืองมีโบสถ์ 4 หลัง “ได้แก่ โบสถ์ St John the Baptist ก่อตั้งโดยราชินีอิซาเบล ในปีค.ศ.1309 โบสถ์ St Martin’s Chapel เป็นโบสถ์สไตล์โกธิคสร้างขึ้นในปี 1331 และเป็นหนึ่งในอาคารในยุคกลางดั้งเดิมที่ยังหลงเหลืออยู่ โบสถ์เซนต์ปีเตอร์ (Igreja de São Pedro) สิ่งที่ยังหลงเหลืออยู่หลังจากแผ่นดินไหวครั้งร้ายแรงในปี 1755 คือแท่นบูชาไม้สูงที่แกะสลักปิดทอง และหอระฆังที่มีบันไดหินวนสู่ด้านบน และโบสถ์ St Mary’s Church ที่สร้างขึ้นบนที่ตั้งของโบสถ์เก่าของพวกวิสิทกอธที่มีอยู่ก่อนแล้ว ต่อมาถูกใช้เป็นมัสยิด และได้มีการสร้างใหม่หลายครั้ง มีกระเบื้องสีฟ้างดงามจากศตวรรษที่ 17 ประดับอยู่ภายใน
‘ปราสาทโอบิโดส’ บนยอดเขาสูงสุดของเมืองได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีล้อมรอบด้วยกำแพงของปราสาทสมัยศตวรรษที่ 12 การเดินไปตามแนวกำแพงในยุคกลางจะทำให้คุณได้เห็นหลังคาดินเผาเรียงรายอยู่เบื้องล่าง เนินเขาสีเขียวชอุ่ม และไร่องุ่นที่ทอดยาวไปทั่วชนบทรอบๆ เมือง
อิโวร่า (Evora)
มีอายุมากกว่า 5,000 ปี ที่มีรากฐานมาตั้งแต่การปกครองโดยชาวเซลติก และถูกยึดครองโดยโรมันใน 57 ปีก่อนคริสตกาล ต่อมาเมืองนี้ถูกพิชิตโดยชาวมัวร์ในปี 715 พร้อมกับเมืองอื่นๆ ในภูมิภาคเช่นซินตรา ก่อนที่จะถูกยึดคืนในที่สุดในปี 1115 ระหว่างปี 1385–1580 โดยอยู่ภายใต้การปกครองของในรัชสมัยของ พระเจ้ามานูเอลที่ 1 และ พระเจ้าฌูเอาที่ 3 แห่งโปรตุเกส
ซุ้มประตูตามแบบสถาปัตยกรรมของชาวมัวร์ยังคงมีอยู่ทั่วบริเวณย่านเมืองเก่า ความรุ่งเรืองของอิโวร่าอยู่ระหว่างศตวรรษที่ 14-16 เมื่อเมืองนี้ร่ำรวยขึ้นจากการค้าไวน์ในท้องถิ่น และเป็นช่วงที่กษัตริย์โปรตุเกสทรงประทับอยู่ที่นี่
หลังกำแพงโบราณยุคกลางเป็นที่ตั้งของซากปรักหักพังของ ‘วิหารไดอาน่า’ ที่สร้างเพื่อเคยอุทิศให้กับเทพีแห่งการล่าในสมัยโบราณ ประกอบด้วยเสาโครินเธียน 14 ต้นตั้งอยู่บนฐานหินแกรนิตอันแข็งแกร่ง ที่เคยใช้เป็นโรงฆ่าสัตว์จนถึงปี 1870 อาคารที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามคือ ‘วิหารอิโวร่า’ วิหารโกธิคในศตวรรษที่ 12 เป็นวิหารในยุคกลางที่ใหญ่ที่สุดในโปรตุเกส
‘โบสถ์เซนต์ฟรานซิส’ สร้างขึ้นในสไตล์โกธิคและมานูเอลีนระหว่างปี 1475 – 1550 มีการตกแต่งภายในที่สวยงามมีลวดลายทางทะเลที่ชวนให้นึกถึงประวัติศาสตร์ของโปรตุเกสในยุคแห่งการค้นพบ แท่นบูชาหลักตกแต่งอย่างวิจิตรตระการตา ห้องเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในด้านหลังแท่นบูชาของโบสถ์เรียกว่า ‘Chapel of Bones’ ได้รับการตกแต่งโดยใช้กระดูกมนุษย์ประมาณ 5,000 ศพที่ขุดขึ้นมาจากสุสานของเมือง
อิโวร่ายังมีชื่อเสียงในเรื่องมหาวิทยาลัยซึ่งเก่าแก่เป็นอันดับสองของประเทศรองจากโกอิมบรา ก่อตั้งขึ้นในปี 1559 และ Termas Romanas (ห้องอาบน้ำแบบโรมัน) ถูกค้นพบภายใต้ Câmara Municipal หรือศาลากลางในช่วงปี 1980 รวมถึง ‘ท่อส่งน้ำแบบโรมัน’ (Aqueduto de Agua da Prata) ที่สร้างขึ้นในปี 1530 ความยาว 9 กม. ออกแบบโดยสถาปนิกทางทหาร Francisco de Arruda ผู้สร้างหอคอยเบเร็ม ‘Belem Tower’ เมืองอิโวร่าได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลกโดยยูเนสโก้ในปี 1986
One World Tour & Travel จัดกรุ๊ปทัวร์ท่องเที่ยวทั่วโลก กรุ๊ปเหมาดูงาน, สัมมนา, ท่องเที่ยวประจำปี คุณภาพดีเยี่ยม
☎️ โทร : 02-448-6338
📱 สายด่วน : 085-557-3131
📥 inbox : m.me/1worldtour
📥 Line : @oneworldtour มี@ ข้างหน้าด้วยนะคะ